วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2559

แชร์ประสบการณ์ การเดินทางและการเข้าถวายสักการะพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง

แชร์ประสบการณ์ การเดินทางและการเข้าถวายสักการะพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง



  เมื่อวันอาทิตน์ที่ 30 ตุลาคม 2559 เราและครอบครัวได้เดินทางไปสนามหลวงเพื่อเข้าถวายสักการะพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ตามที่มีพระราชทานพระราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ ได้ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2559 เป็นต้นไป

เราเดินทางจากสุพรรณบุรี และเนื่องจากไม่ชำนาญเส้นทางมากนักจึงตัดสินใจจอดรถยนต์ส่วนตัวไว้ที่ห้าง Central Westgate และต่อรถ Shuttle Bus ที่รัฐจัดไว้รับส่งฟรีไปยังสนามหลวง เราออกจากบ้านไม่เช้ามาก ถึง Central ก็เป็นเวลา 7 โมงเศษๆ และถึงแม้จะยังไม่ใช่เวลาเปิดห้าง แต่ทางห้างก็บริการเปิดที่จอดรถให้สำหรับประชาชนที่ต้องการเดินทางไปสนามหลวง ทั้งยังมีรถบริการรับส่งจากที่จอดรถของห้างไปยังจุดจอดรถ Shuttle Bus อีกด้วย ต้องขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

จึงขอแนะนำ เพื่อความสะดวกในการเดินทาง และอาจช่วยลดปัญหาการจราจรที่อาจติดขัดมากให้น้อยลงได้ สำหรับคนที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดโดยเฉพาะเส้นทางเหนือหรือทางตะวันตก ทั้งที่ชำนาญเส้นทางก็ดีหรือไม่ชำนาญเส้นทางก็ดี สามารถนำรถยนต์ส่วนตัวไปจอดไว้ที่ ห้าง Central Westgate และต่อรถ Shuttle Bus ไปยังสนามหลวงจะดีกว่า 

ประชาชนที่มาจากเส้นทางอื่นก็ควรตรวจสอบจุดบริการจอดรถรวมถึงรถรับส่งที่รัฐจัดไว้บริการ ทั้งนี้รัฐจะจัดไว้ตามหัวเมืองหลักของ กทม. เพื่่อความสะดวกและรวดเร็วในการเดินทางเข้าถวายสักการะพระบรมศพ หรือการเดินทางไปสนามหลวง

เราถึงบริเวณสนามหลวงประมาณ 8.00 น. เวลานั้นคนค่อนข้างเยอะแล้ว ท้ายแถวที่ต่อคิวเข้าไปถวายสักการะ อยู่ใจกลางท้องสนามหลวง ระบุได้จากบอลลูนบอกตำแหน่งหางแถว หรือคอยฟังจากเสียงประชาสัมพันธ์ หรืออาจจะถามได้จากเจ้าหน้าที่ที่คอยให้บริการช่วยเหลืออยู่ 

เรายืนต่อแถวอยู่กลางสนามท่ามกลางแสงแดดสักพัก จึงได้เริ่มเดินเข้าไปในร่มตามทางเดินรอบสนามหลวงฝั่งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ฉะนั้นควรเตรียมร่มกันแดดไปด้วยจะดีที่สุด เพราะได้ใช้ตลอดทั้งวัน

ด้วยจำนวนประชาชนที่เดินทางมานับหมื่นคนทำให้ต้องต่อแถวเพื่อเข้าวังเป็นเวลานานมาก จึงแนะนำให้ใส่รองเท้าที่สบายเท้า ที่เหมาะกับการยืนรอเป็นเวลานาน แต่ต้องเหมาะสมและถูกระเบียบตามที่สำนักพระราชวังได้ประกาศไว้ (ใส่รองเท้าสีดำหุ้มส้น)

การแต่งกายก็ควรถูกต้องเหมาะสมตามประกาศของสำนักพระราชวังเช่นกัน แต่งกายชุดดำและสุภาพ โดยเฉพาะผู้หญิงที่ต้องสวมกระโปรงเลยเข่าเท่านั้นห้ามใส่กางเกง ถึงแม้สำนักพระราชวังจะเตรียมชุดที่เหมาะสมไว้ให้บางส่วนสำหรับคนที่แต่งกายผิดระเบียบ แต่นั่นก็ทำให้เสียเวลามากขึ้นไปอีก ลองคิดดูว่ายืนรอมานานหลายชั่วโมงแต่ไม่สามารถเข้าได้เพราะแต่งกายไม่ถูกต้อง ดังนั้นเราควรเตรียมตัวเองให้พร้อม แต่งกายให้ถูกต้องเหมาะสมเพื่อประโยชน์ของตัวเราเอง และเผื่อเกิดเหตุสุดวิสัยเราก็ควรเตรียมบัตรประชาชนไว้ด้วย (ในการเปลี่ยนชุดที่เตรียมไว้ให้ต้องใช้บัตรประชาชนค่ะ)

ระหว่างรอเราได้มีโอกาสคุยกับคุณยายคนหนึ่งที่นั่งพักอยู่ข้างเต๊นท์ ยายเล่าว่ายายเข้าไปถวายสักการะตั้งแต่ 8 โมงเช้า เพราะยายไปต่อแถวตั้งแต่ตีสามตีสี่ ยายเลยออกมาเร็ว ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 4-5 ชั่วโมง ผิดกับเราซึ่งมาต่อแถวประมาณ 8 โมงเช้า  ได้เข้าถวายสักการะตอนเกือบ 6 โมงเย็น รวมแล้วยืนต่อคิวเกือบ 10 ชั่วโมงได้ 

อาจเป็นเพราะเป็นวันแรกๆที่เปิดให้เข้าไปเบื้องหน้าพระบรมโกศ ด้วยคนที่มาเยอะมากๆ ด้วยการจัดการที่อาจมีติดขัดบางส่วน มีความสับสนในบางช่วง แต่ถึงอย่างไรก็เห็นใจและอยากให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกส่วนที่ทำงานกันอย่างเข้มแข็ง รวมถึงบุคคลทั่วไป จิตอาสาที่คอยมาช่วยเหลือประชานชนทั่วไป ทั้งที่นำน้ำและอาหารมาแจก ช่วยเก็บขยะ หรือบริการด้านสุขภาพต่างๆ และอีกมากมาย

อยากจะบอกว่ามันต้องใช้ความอดทนมากจริงๆในการต่อแถวเพื่อเข้าถวายสักการะ ตลอดเวลาเกือบสิบชั่วโมง เราได้นั่งน้อยมาก เพราะแถวขยับเกือบตลอดในช่วงครึ่งวันแรก ถึงแม้จะขยับแค่เพียงนิดหน่อยก็ตาม บวกกับการที่พื้นเปียกจึงกลัวกระโปรงจะเปื้อน ดังนั้นข้อแนะนำอีกข้อก็คือ ควรเตรียมผ้ารองนั่งผืนเล็กๆ หรือเก้าอี้พับเก็บได้ตัวเล็กๆจะดีกว่า โดยเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุที่ไม่ควรยืนนานๆ 

ยอมรับว่ามีหลายครั้งที่เราอยากยอมแพ้ อากาศก็ร้อน แถมยืนนานจนปวดฝ่าเท้าไปหมด มันเกินกว่าคำว่าเมื่อยไปอีก และถึงแม้จะมีอาหารและน้ำคอยแจกจ่ายตลอดเวลาที่ยืนในแถว ความเหนื่อยล้าก็ทำให้อยากอาหารน้อยมาก มีบางช่วงที่อาการไม่ค่อยดีก็รีบขอแอมโมเนีย หรือยาดมจากจิตอาสา ทำให้บรรเทาไปได้บ้าง แต่ถึงอย่างไรเราก็ไม่ได้ยอมแพ้ถึงแม้จะต้องสู้กับใจตัวเองอย่างมาก อย่างไรก็ดีสำหรับคนที่รู้สึกว่าไม่ไหวจริงๆก็ไม่ควรฝืน เพราะหากเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงขึ้นมาคงจะไม่ดี

ต้องยอมรับว่าการไปต่อแถวนั้นมีน้ำท่าอาหารอุดมสมบูรณ์มาก เพเพราะบุคคลและหน่วยงานต่างๆมาแจกมากมาย แต่ระหว่างต่อแถวไม่ควรดื่มน้ำเยอะหรือทานอาหารมากเกินไป เพราะห้องน้ำอาจอยู่ไกลจากแถว และอาจต้องต่อคิวเข้าห้องน้ำนาน ทำให้อาจพลัดหลงกับเพื่อนหรือญาติได้ จึงไม่ควรออกจากแถวบ่อยนัก

บางคนอาจมาคนเดียว ซึ่งเราไม่แนะนำนะเพราะว่ามากันหลายคน หรืออย่างน้อยมีเพื่อนสักคนก็จะดีกว่า จะได้มีคนคอยดูแลกัน หรือจองคิวให้หากจำเป็นต้องออกจากแถวเช่นไปเข้าห้องน้ำ

ในส่วนของการกลับบ้าน เมื่อเดินออกจากวังก็จะมีบริการมอเตอร์ไซค์จิตอาสารับส่งฟรี แต่หลายคนก็เลือกที่จะเดินเพราะไม่ต้องการรอคิว การเดินทางกลับนั้นถ้าไม่แน่ใจว่าต้องกลับไปขึ้นรถที่จุดไหนก็สามารถถามเจ้าหน้าที่ได้ แต่ทางที่ดีก็ควรศึกษาเส้นทางไปหรือกลับไว้ก่อน  ในส่วนของรถกลับ Central Wesgate ก็จะอยู่บริเวณหน้ากองสลาก รถบางคันอาจจะจอดส่งรายทางด้วย แต่บางคันจอดแค่ปลายทางอย่างเดียวเพราะฉะนั้นก่อนขึ้นก็ควรถามให้ดี รวมถึงบางคันอาจจะวนไปจอดหน้า Central Wesgateให้เลย แต่ก็มีบางคันที่ไม่วน เราอาจจะต้องลงฝั่งตรงข้ามแล้วเดินข้ามสะพานลอยไป ทางที่ดีก็ควรถามคนขับรถก่อนขึ้นจะดีกว่า

การเอื้อเฟื้อต่อกัน มีน้ำใจให้กันในเวลาเช่นนี้ก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก ยิ่งไม่ควรเห็นแก่ตัวเอารัดเอาเปรียบกัน มีจังหวะที่ชุลมุล แอบมีคนเข้ามาแทรกในแถว มีคนแซงคิวกันซึ่งเป็นสิ่งไม่ดีเลย จริงๆแล้วดีหรือไม่ดีเรารู้อยู่แก่ใจ ลองนึกว่าบางคนรอเป็นสิบชั่วโมงอาจจะไม่ได้เข้าด้วยซ้ำ เรามาถึงก็มาแทรกแล้วได้เข้าการกระทำที่เบียดเบียนคนอื่นจะเป็นสิ่งที่ดีได้เช่นไร อย่างไรก็ดีเราควรประพฤติตัวให้เหมาะสม โดยเฉพาะเมื่อเข้าเขตพระราชวังก็ควรอยู่ในความสงบ สำรวมกาย วาจา ใจ 

ท้ายที่สุดนี้ขอเป็นกำลังใจให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกๆคน ประชาชนทุกๆคนที่ยืนรอเพื่อจะเข้าไปถวายสักการะพระบรมศพ ความรู้สึกความประทับใจของเราเมื่อได้เข้าไปอยู่เบื้องหน้าพระบรมโกศของพระเจ้าอยู่หัวมันไม่อาจบรรยายออกมาได้หมด ทั้งตื้นตัน ปลื้มใจ เศร้าใจ ความรู้สึกหลายอย่างประดังประเดเข้ามา ยิ่งเมื่อนึกถึงสิ่งที่ท่านทำให้ปวงชนชาวไทย เราทำอย่างไรก็คงตอบแทนท่านไม่หมด แต่เราก็จะทำ หากรู้ตัวว่ามีประโยชน์ต่อคนอื่นแค่เพียงน้อยนิด เราก็จะทำให้เต็มหน้าที่เต็มความสามารถของเรา

ขออภัยหากเขียนผิดพลาดประการใด ตั้งใจจะเขียนเล่าประสบการณ์ของตัวเอง และสิ่งที่คิดว่าอาจจะมีประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการเข้าถวายสักการะเบื้องหน้าพระบรมโกศ

สิ่งใดดี สิ่งใดประเสริฐ ขอให้สิ่งนั้นประสบผลสำเร็จ

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559

การศึกษาประวัติศาสตร์ผ่านวรรณกรรม


ผลงานเขียนต่อไปนี้ เป็นเพียงชิ้นงานหรือบทความเล็กๆที่ตัวผู้เขียนเองเคยเขียนในขณะที่ยังเรียนอยู่ เป็นส่วนหนึ่งของวิชาที่ได้เคยศึกษา จำได้ว่าแรงบันดาลใจในการเขียนชิ้นงานเรื่องนี้มาจากการที่เดินในงานสัปดาห์หนังสือแล้วได้หนังสือนิยายมือสองมาหนึ่งเล่ม เมื่อลองอ่านดูแล้วปรากฏว่าเป็นนิยายที่สนุก เนื้อเรื่องน่าติดตาม ทำให้เกิดความสนใจที่จะไปศึกษาเบื้องหลังทางประวัติศาสตร์ต่อไป ถึงแม้เนื้อหาของบทความจะยังขาดตกบกพร่องอยู่มาก และถึงแม้เนื้อหาสาระจะเบาบางตื้นเขินแต่ก็อยากนำมาแบ่งปันให้เห็นว่า การศึกษาประวัติศาสตร์ผ่านฉากหลังของนิยายที่เราชื่นชอบนอกจากจะได้รับอรรถรสในการอ่านแล้วยังได้ความรู้ประดับตัวเพิ่มขึ้นอีก ถึงอย่างไรก็ขอขอบคุณผู้เขียนนิยาย และเจ้าของข้อมูลบางประการที่ปรากฏอยู่ในบทความไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ (ยอมรับตามตรงว่าเขียนเมื่อนานมาแล้ว หา Ref ไม่เจอจริงๆ ซ้ำยังจำไม่ได้อีกซะนี่ ยังไงก็ต้องขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ)


การศึกษาประวัติศาสตร์ผ่านวรรณกรรม

ประวัติศาสตร์ที่ศึกษา         ศึกษาประวัติศาสตร์อินโดนีเซียในช่วงปลายศตวรรษที่ 19
วรรณกรรมใช้ศึกษา            แผ่นดินของชีวิต ของ ปราโมทยา อนันตา ตูร์

                การศึกษาประวัติศาสตร์คือการศึกษาประวัติความเป็นมาของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งไม่ได้กำหนดอยู่เพียงแค่การศึกษาอยู่ในตำราวิชาการเท่านั้น แต่สามารถศึกษาผ่านงานขียน หรือวรรณกรรมต่างๆซึ่งช่วยให้การศึกษาประวัติศาสตร์ไม่น่าเบื่อ และมีสีสันมากขึ้น

                แผ่นดินของชีวิต หรือชื่อในภาษาอังกฤษ This Earth of Mankind เป็นผลงานของปราโมทยา อนันตา ตูร์ นักเขียนชาวอินโดนีเซียผู้มีผลงานที่ได้รับการแปลมากกว่า 30 ภาษา แผ่นดินของชีวิตเป็นนวนิยายเรื่องหนึ่งในชุดจตุรภาคแห่งเกาะบูรู ซึ่งได้รับการชื่นชมว่าเป็น
นวนิยายที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับลัทธิอาณานิคม

                ประวัติของผู้แต่ง
                ปราโมทยา อนันตา ตูร์ เกิดที่เมืองบลอรา เป็นเมืองเล็กบนเกาะชวาเมื่อปี 1925 ในสมัยที่อินโดนีเซียยังเป็นอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์ บิดาของเขาเป็นนักชาตินิยม และมารดาเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี
                ปราโมทเข้าร่วมขบวนการต่อต้านลัทธิอาณานิคมตั้งแต่อายุยังน้อย และถูกรัฐบาลดัตช์จับกุมคุมขังไว้ระหว่างปี 1947 – 1949 อันเป็นช่วงที่เขาเริ่มมีผลงานเขียนยุคแรกๆ ผลงานเรื่องแรกคือ The Fugitive
                หลังการต่อสู้เพื่อเอกราชประสบความสำเร็จ เขาได้รับการปล่อยตัวและตลอดระยะเวลา 15 ปีภายใต้รัฐบาลซูการ์โน เขาทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์ บรรณาธิการ และสอนวรรณคดีในมหาวิทยาลัย ในช่วงนี้เขาเริ่มค้นคว้าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อินโดนีเซีย ซึ่งใช้เป็นพื้นฐานในการเขียนแผ่นดินของชีวิตในเวลาต่อมา
                ในปี 1965 ปราโมทถูกจับขังในข้อหาเป็นคอมมิวนิสต์ หลังถูกขังอยู่ 4 ปี เขาถูกส่งตัวไปที่เกาะบูรู และที่แห่งนี้เองที่เป็นทั้งบ้านและที่ที่ปราโมทสร้างผลงานของเขาขึ้นมา
                ในช่วงแรกเขาสร้างผลงานโดยการเล่าปากต่อปากให้เพื่อนนักโทษฟัง จนกระทั่งในปี 1973 พศดียอมอนุญาตให้เขาเขียนหนังสือลงบนกระดาษ
                ในปี 1979 ปราโมทถูกปล่อยตัวจากคุก แต่ก็ถูกกักบริเวณจนกระทั่งปี 1999 เขาได้รับอนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศครั้งแรก เพื่อไปเปิดตัวหนังสือ The Mutes Soliloquy ในสหรัฐอเมริกา

                เนื้อเรื่องย่อ
                แผ่นดินของชีวิตเป็นตอนแรกของนวนิยายชุดจตุรภาคแห่งเกาะบูรู เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับการตื่นขึ้นของสำนักชาตินิยมในชาวพื้นเมือง โดยเฉพาะ มิงเก ตัวละครหลักของเรื่อง มิงเก คือ นักเรียนชาวมัธยมปลายชาวพื้นเมืองที่ได้รับโอกาสเข้าไปเล่าเรียนวิทยาศาสตร์และวิชาความรู้ต่างๆในโรงเรียนของชาวดัตช์หรือเอชบีเอสที่ตั้งอยู่ที่เมืองสุราบายา โดยปกติแล้วเอชบีเอสจะสงวนไว้ให้ชาวดัตช์ หรือปรียายีเท่านั้น มิงเกจึงใช้เส้นสายของยายซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์เก่าทำให้ได้เข้าไปเรียนในที่แห่งนี้
                ทัศนคติของมิงเกในแผ่นดินของชีวิตนี้เริ่มต้นด้วยการเป็นคนที่นิยมตะวันตกอย่างมาก ชื่นชมความรู้แบบวิทยาศาสตร์ การแต่งกายก็แตกต่างจากชาวพื้นเมืองคนอื่นในสมัยนั้น เขาแต่งกายแบบชาวยุโรป เขาพยายามลบภาพลักษณ์ความเป็นชวาออกไป เพราะเป็นภาพลักษณ์ของความล้าหลัง ความไม่มีอารยะธรรม แต่ทัศนคติของเขาจะเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อเขาได้รู้จักกับครอบครัวของ ไญ อนโตโซโระห์
                ไญ อนโตโซโระห์ เป็นภรรยาลับๆของนักธุรกิจชาวดัตช์ ชื่อ เฮอร์มาน เมลเลมา มิงเกหลงรักแอนเนลีส์สาวลูกครึ่ง ลูกของไญ อนโตโซโระห์ เขาเจออุปสรรคมากมายในเรื่องของความรัก ทั้งการถูกปล่อยข่าวเสียหาย ถูกนินทาว่าร้ายในโรงเรียน โดนมองด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม
                เรื่องยิ่งแย่ลงเมื่อมิสเตอร์เมลเลมาถูกฆาตรกรรมอย่างลึกลับ ครอบครัวของไญและมิงเกจำเป็นต้องขึ้นศาลของชาวผิวขาวหรือชาวดัตช์ ที่นี่เองเขาได้รับรู้ถึงความกดขี่ ความยโสของชาวตะวันตกที่มีเหนือชาวพื้นเมือง
                คำตัดสินที่ไม่ยุติธรรมต่อชาวพื้นเมือง โดยเฉพาะสำหรับไญ อนโตโซโระห์ บอกว่าเธอไม่เพียงจะถูกยึดทรัพย์สินจากธุรกิจที่เธอเป็นผู้ดูแลมาตลอด แต่เธอยังถูกยึดสิทธิ์ที่จะเลี้ยงดูลูกสาวคนเดียวของตัวเอง เนื่องจากแอนเนลีส์ผู้ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะจะต้องอยู่ในความดูแลของมอริตซ์ลูกชายชาวดัตช์ที่ถูกต้องตามกฎหมายของ มิสเตอร์เมลเลมา โดยแอนเนลีส์ต้องเดินทางไปฮอลแลนด์เพียงลำพัง เพราะศาลชาวดัตช์ไม่ยอมให้ผู้ที่มีเชื้อสายดัตช์อยู่ในความดูแลของชาวพื้นเมือง แม้แอนเนลีส์จะมีสายเลือดของชาวพื้นเมืองครึ่งหนึ่งก็ตาม
                เรื่องแผ่นดินของชีวิตจึงจบด้วยตอนที่ว่า แอนเนลีส์ต้องจากบ้านไป จากไญผู้เป็นแม่ และจากมิงเก สามีของเธอ โดยที่มิงเกไม่สามารถทำอะไรได้เลย และจากความพยายามในการต่อสู้กับศาลชาวดัตช์ จนคนรักถูกพรากจากไป ทำให้มิงเกตระหนักถึงความอยุติธรรม การกดขี่ และความชั่วร้ายของระบอบอาณานิคมตะวันตก






                ประวัติศาสตร์อินโดนีเซียผ่านแผ่นดินชีวิต
            วรรณกรรมเรื่องแผ่นดินของชีวิตได้สะท้อนภาพของประวัติศาสตร์สังคมอินโดนีเซียในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ได้อย่างชัดเจน เพียงแค่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบของตำราประวัติศาสตร์เท่านั้นเอง
                สภาพสังคมของอินโดนีเซียในขณะนั้น เมื่อย้อนไปดูภาพรวมในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 จะเห็นได้ว่า ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษถือเป็นช่วงเวลาแห่งความสงบสุข เกาะชวามีความเจริญรุ่งเรืองมาก เนื่องจาการพัฒนาด้านเกษตรกรรม และมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้นของประชากรเนื่องมาจากการที่บ้านเมืองมีความสงบสุขและเพื่อตอบสนองความต้องการในด้านแรงงาน นอกจากนี้ดัตช์เริ่มนำระบบการบริหารและนโยบายต่างๆซึ่งเป็นเป้าหมายในการสร้างอาณานิคมมาใช้ในพื้นที่แห่งนี้โดยนโยบายต่างๆเหล่านี้ถือเป็นนโยบายใหม่และไม่เคยใช้มาก่อน จึงทำให้การเปลี่ยนแปลงในช่วงคริสต์ศตวรรษนี้ก่อให้เกิดความยุ่งยากและไม่เหมาะสมกับสภาพความเป็นอยู่จริง ในช่วงต้น
                ศตวรรษนี้เราจะเห็นได้ว่าอิทธิพลในด้านสังคม วัฒนธรรมและเศรษฐกิจของชาวดัตช์ก็เริ่มขยายตัวและครอบงำสังคมแบบเดิมของชาวชวามากขึ้นเรื่อยๆ มาตรการต่างๆของดัตช์สร้างความไม่พอใจให้ชาวชวาบางกลุ่มจนนำไปสู่สงครามชวาในช่วงปี 1825 – 1830 แต่สงครามก็จบลงที่ฝ่ายดัตช์สามารถควบคุมชวาได้อีกครั้ง ภายหลังจากที่ดัตช์ปราบกบฏในสงครามชวาได้เรียบร้อยแล้วถือว่าดัตช์ได้ใช้ระบอบการปกครองแบบอาณานิคมอย่างเต็มรูปแบบกับชวาในการควบคุมเรื่องต่างๆ
                โดยในปี 1830 ก็มีการนำระบบบังคับการเพาะปลูกมาใช้ เพื่อบังคับการผลิตน้ำตาลเพื่อทำกำไรสู่ตลาดโลกของดัตช์ และในการขูดรีดทรัพยากรจากอาณานิคมนี้ ดัตช์ได้มีการปลูกฝังทัศนคติค่านิยมที่จะทำให้ชาวชวาจะต้องอยู่ใต้ความปกครองของดัตช์ ต้องให้ความเคารพชาวดัตช์ และมองดัตช์ว่าเป็นผู้สูงส่ง อยู่เหนือกว่าชาวพื้นเมือง โดยชาวพื้นเมืองไม่มีสิทธิ์เรียกร้องหรือโต้แย้งใดๆได้ การบังคับการเพาะปลูกนี้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมหมู่บ้าน เริ่มเกิดความไม่เท่าเทียมกัน มีคนรวยกับคนจนเกิดขึ้น จากผลการขูดรีดนี้ก็ทำให้ดัตช์มีกำไรและรายได้เพิ่มมากจนกลายเป็นประเทศหนึ่งที่ร่ำรวยที่สุดในยุโรปในตอนนั้น แต่สร้างผลกระทบอย่างมากในสังคมชวาจนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นในเนเธอร์แลนด์จากกลุ่มที่มีแนวคิดเสรีนิยม
                กลุ่มแนวคิดเสรีนิยมนี้ต้องการให้ดัตช์เปลี่ยนนโยบายในการปกครองใหม่โดยให้มีความเสรีมากขึ้น ทำให้ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ดัตช์หันมาใช้นโยบายเสรีนิยมและผลจากการใช้นโยบายเสรีนิยมนั้นก็ทำให้เศรษฐกิจในชวาตกอยู่ในมือของนายทุนชาวต่างชาติเป็นส่วนใหญ่ และเมื่อเราศึกษาลึกเข้าไปในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ของเมืองท่าสุราบายา ซึ่งเป็นสถานที่หลักในวรรณกรรมเรื่องนี้ จะเห็นได้ว่ามีการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่มากับนโยบายเสรีนิยม
                โดยเมืองท่าสุราบายาเป็นเมืองท่าที่ขยายตัวรอบๆท่าเรือใหญ่ ทำให้ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่แห่งนี้ย่อมต้องมองเห็นและรับรู้ถึงการหลั่งไหลเข้ามาของวัฒนธรรมต่างๆที่เข้ามาพร้อมกับการขยายตัวของอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีแบบทุนนิยม อันเป็นผลมาจากนโยบายเสรีนิยมได้อย่างถนัดชัดเจน ทั้งเรือบรรทุกสินค้าที่นำเอาสินค้าต่างๆมากมาย ทั้งเครื่องจักรและสินค้าจากยุโรป ทำให้มีการขยายตัวของเศรษฐกิจการค้า โดยเฉพาะมีการขนวัวนมสำหรับอุตสาหกรรมนมของชวาเข้ามาที่เมืองท่าแห่งนี้
                นอกจากนี้ยังมีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติหลั่งไหลเข้ามาโดยเฉพาะชาวตะวันตก ทั้งเจ้าหน้าที่ของดัตช์ที่ถูกส่งตัวมา พ่อค้า นักเผชิญโชค คนเหล่านี้เข้ามาที่หมู่เกาะชวาเพื่อแสวงหา กอบโกย ตักตวงเอาผลประโยชน์จากหมู่เกาะแห่งนี้
                เมื่อผู้คนจากต่างเชื้อชาติเข้ามาอยู่จึงเกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ มีการหลั่งไหลของความร็เข้ามาอย่างไม่ขาดสายทั้งในด้านการเมือง การปกครอง ศาสนา ปรัชญา และวิสัยทัศน์ในด้านต่างๆ รวมทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบโลก มีการเข้ามาของเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น เรื่องของการพิมพ์หนังสือ พิมพ์รูปภาพ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความเจริญที่เข้ามาพร้อมกับการต้องตกอยู่ใต้อาณานิคมของดัตช์ทั้งนั้น และธุรกิจความมั่งคั่ง รวมทั้งผลประโยชน์ส่วนใหญ่ก็เป็นของชาวต่างชาติมากกว่าที่จะเป็นของชาวพื้นเมือง ทำให้มีการวิจารณ์นโยบายการปกครองของดัตช์อย่างกว้างขวางว่าเอารัดเอาเปรียบชาวพื้นเมืองมากเกินไป รัฐบาลดัตช์จึงพยายามหาทางแก้ไขปัญหา จนนำไปสู่นโยบายจริยธรรมในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20
                มีการดำเนินนโยบายการผสมผสานทางวัฒนธรรมซึ่งเป็นพื้นฐานความคิดของนโยบายจริยธรรม ด้วยการนำเอาวัฒนธรรมตะวันตกสมัยใหม่สอดแทรกเข้าไปในวิถีชีวิตของกลุ่มลูกหลานปรียายีรุ่นใหม่ที่เคยยึดติดอยู่กับวัฒนธรรมอิสลามพื้นเมืองแบบชวา มีการสนับสนุนการศึกษา แต่ก็แค่ในกลุ่มชนชั้นสูงของสังคมชวาเท่านั้น ทำให้การศึกษากระจุกตัวอยู่แค่ในบางกลุ่ม
                การดำเนินนโยบายจริยธรรมของดัตช์ตั้งอยู่บนจุดประสงค์แห่งความหวังดีแต่ผลที่ได้กลับสร้างความแปลกแยกทางวัฒนธรรมระหว่างวัฒนธรรมสมัยใหม่ของตะวันตกกับวัฒนธรรมอิสลามเกิดขึ้นในกลุ่มลูกหลานชนชั้นสูงที่ได้รับการศึกษาแบบใหม่จากโรงเรียนรัฐบาล และโรงเรียนเอกชนที่ชื่นชมวัฒนธรรมสมัยใหม่
                มีการกำหนดใช้ภาษาดัตช์เป็นภาษากลางเพื่อเป็นมาตรฐานในการศึกษา ทำให้เป็นการแบ่งแยกชนชั้น ซึ่งภาษาในสมัยนั้นเป็นเครื่องบ่งบอกถึงชนชั้นวรรณะทางสังคมอย่างชัดเจน ในสมัยนั้นชาวพื้นเมืองถูกห้ามไม่ให้ใช้ภาษาดัตช์ ซึ่งภาษาดัตช์เป็นภาษาสำหรับชนชั้นปกครอง และชนชั้นสูงสุด ภาษาชวาเป็นภาษาของคนพื้นเมืองในเกาะชวา ภาษามลายูเป็นภาษาระหว่างเชื้อชาติต่างๆ เป็นภาษากลาง เป็นภาษาของลูกครึ่งยุโรปเอเชีย นอกจากภาษาที่เป็นตัวกำหนดชนชั้นวรรณะในสังคมแล้วเรื่องของเชื้อชาติก็เป็นประเด็นสำคัญ มีการแบ่งแยกเชื้อชาติอย่างชัดเจน เช่นชาวพื้นเมือง ชาวเลือดผสม ชาวอินโด และชาวยุโรปแท้ การแบ่งแยกนี้มีสถานภาพทางกฎหมายรองรับ
                มาตรการต่างๆของรัฐบาลดัตช์ทำให้เกิดความห่างเหินทางวัฒนธรรมการศึกษาขึ้น ทำให้ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดของวิถีชีวิตแบบเดิมคลายตัวลง ส่งผลให้เกิดการวมตัวกันของชวาพื้นเมืองโดยมีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวในการเคลื่อนไหว ต่อต้านเหล่าผู้ปกครองต่างชาติ

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

สงสัยจัง??

แท้จริงแล้วความสุขคืออะไรกันแน่นะ..

มองดูใกล้ๆ มองไม่ไกล แค่เราไม่เจ็บป่วยก็มีความสุขแล้วนะ

แค่เราได้ทานอาหารอร่อยๆก็มีความสุขแล้ว

แค่ได้คุยกับใครสักคน ได้แลกเปลี่ยนอะไรบางอย่างซึ่งกันและกันก็มีความสุข

แค่ได้ทำอะไรที่เราชอบก็มีความสุข

แค่ได้คิดถึงเรื่องราวในอดีตที่เคยทำให้มีความสุขก็มีความสุข

เรานี่ช่างมีความสุขได้ง่ายจังเลยเนอะ

แล้วทำไมต้องไปคิดอะไรใหญ่โตด้วยล่ะ ในเมื่อเรื่องเล็กๆแค่นี้ก็ทำให้เรามีความสุขได้เหมือนกัน

บางคนก็อาจจะกำลังมีความสุขอยู่แต่ไม่รู้ตัวก็ได้นะ

เวลาเรารู้ตัวว่าเรากำลังมีความสุขอยู่มันยิ่งทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้นได้มั้ยนะ

ความสุขของแต่ละคนก็คงไม่เท่ากันสินะ

ยังไงก็มีความสุขเถอะนะ

ทุกคนควรมีความสุขตามอัตภาพของตัวเอง


ตัวฉัน... ในขณะที่นึกสงสัยกับคำถามมากมายในชีวิต

วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ความฝัน : เป้าหมาย

เราเชื่อว่าทุกคนมีฝันนะ มีสิ่งที่อยากทำ เราค้นพบว่าการมีจุดมุ่งหมาย เป้าหมายอะไรสักอย่างมันดีนะ มันทำให้เรารู้ว่าเราหายใจอยู่ทุกวันนี้เพื่ออะไร ไม่ได้ใช้ชีวิตเลื่อนลอยไปวันๆ 

ใครฝันอะไรไว้ก็ลงมือทำเถอะ เล็กน้อยก็ทำไป เอาที่สบายใจ ใช้ชีวิตให้มีความสุข แต่อย่าเอ้อระเหยจนเฉื่อยชาล่ะ ความฝันมันจางลงได้นะถ้าเราปล่อยมันทิ้งไว้นานๆน่ะ 

ตั้งเป้าหมาย แล้วเดินไปหามัน แล้วอย่าลืมว่าระหว่างทางก็สำคัญไม่แพ้ปลายทางเหมือนกัน :)




ตัวฉัน..... ในวันที่ทุกคนกำลังอยู่ในช่วงวันหยุดยาวแต่เราต้องทำงาน

วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ซอมบี้สีเทา



สวัสดีวันพุธตอนบ่ายคล้อยจนเกือบจะเย็น ถึงแม้จะเป็นบ่ายแก่ๆ แต่พระอาทิตย์ก็ลับแสงไปนานแล้ว ถูกบดบังด้วยก้อนเมฆสีดำทะมึนก้อนใหญ่ ให้ความรู้สึกสีเทา มึนๆ อึนๆ บอกไม่ถูก ความเหงามักจะเข้ามาเมื่อแสงอาทิตย์หายไปนี่แหละ ก็แปลกดีเหมือนกันนะ

บรรยากาศอึมครึมขนาดนี้ เรื่องที่จะพูดถึงก็อึมครึมเช่นกัน ถ้าเปรียบเทียบชีวิตเราตอนนี้เป็นสีสัน จากที่เคยเป็นสีที่สดใส ตอนนี้กำลังถูกสีเทายึดชิงพื้นที่เข้ามามากขึ้นทุกที การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ ที่ทุกคนต่างเร่งรีบ สิ่งแวดล้อมที่มีแต่มลพิษ การจราจรที่ติดขัดอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผู้คนในเมืองใหญ่แห่งนี้ใกล้เคียงซอมบี้เข้าไปทุกที คงเป็นเพราะความฝันที่เคยสดใสดูเลือนรางลงไปทุกทีล่ะมั้ง

การทำงานเพื่อหาเลี้ยงตัวเอง หรือบางคนอาจจะมีครอบครัวที่ต้องคอยดูแลอยู่ข้างหลังเป็นสิ่งสำคัญที่เลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้หลายคนจะไม่ชอบใจในงานที่ตัวเองทำอยู่ แต่ก็ต้องชั่งใจให้ดี ว่าสิ่งไหนจำเป็น สิ่งไหนสำคัญกับชีวิตเราจริงๆ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว ถ้าสิ่งที่ทำอยู่นั้นไม่ไหวจริงๆ ทำให้เราเป็นทุกข์มากจริงๆ ก็ควรเลือกทำให้ชีวิตมีความสุขน่าจะดีกว่า ชีวิตคนเรานั้นสั้น สั้นเกินกว่าที่จะมานั่งทนทุกข์ เราต้องจำไว้เสมอว่าเราเกิดมาเพื่อมีความสุข อะไรที่จะทำให้เรามีความสุข เราก็ไม่ควรลังเลที่จะทำมัน แต่ถ้าจะให้เป็นสุขที่แท้จริง สุขนั้นจะต้องไม่เบียดเบียนสุขของคนอื่นด้วย

สิ่งที่ทำให้เราใกล้เคียงซอมบี้มากเข้าไปทุกที อาจจะเริ่มมาจากความเบื่อหน่าย โดยเฉพาะสิ่งแวดล้อมรอบตัว ทัศนียภาพที่ไม่สดใส มลพิษจากควันรถยนต์ มลพิษทางเสียง มลพิษทางน้ำ กลิ่นเหม็นเน่าฉุนจมูกที่ลอยคละคลุ้งขึ้นมาจากท่อระบายน้ำที่พบได้ทั่วไปบนทางเดินเท้าในกรุงเทพมหานคร แต่สิ่งแวดล้อมที่ใกล้ตัวมากที่สุดและมีอิทธิพลต่อชีวิตซอมบี้อย่างเรามากที่สุดก็คงจะเป็นบรรยากาศในที่ทำงาน ใครมีเพื่อนร่วมงานที่น่ารัก เจ้านายที่เก่งและใส่ใจลูกน้องก็นับเป็นความโชคดีอันหาที่สุดไม่ได้ แต่สำหรับคนที่ไม่ได้โชคดีขนาดนั้น ก็อาจจะต้องมีความอดทนอย่างมาก หาเครื่องมือปกป้อง ป้องกันตัวเองที่เหมาะสม และเดินหน้าต่อสู้กับชีวิตต่อไป

แน่นอนที่เราไม่ได้อยู่ในกลุ่มผู้โชคดี แต่ถึงแม้ชีวิตการทำงานจะไม่ได้เป็นอย่างที่ฝันไว้ ปมดราม่าก็มีมากมายซับซ้อนยิ่งกว่าซีรี่เกาหลี อันการนินทากาเลเหมือนเทน้ำก็คงจะมีอยู่ในแทบจะทุกสังคมการทำงาน ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงที่จะไม่เจอได้ยาก ยอมรับว่ามีช่วงที่เบื่อมากๆ รู้สึกไม่โอเค รู้สึกไม่ชอบสังคมแบบนี้ รู้สึกไม่อยากลุกจากเตียง ไม่มีpassion ไม่มีแรงผลักดัน ไม่อยากตื่นมาทำงาน พอมาถึงที่ทำงานก็ทำแบบเบื่อๆ ทำไปตามหน้าที่ บางทีก็ตึงๆกับเพื่อนร่วมงาน พีคมากๆก็พูดไม่ดีใส่กัน ความรู้สึกดีๆที่เคยมีก็เริ่มเลือนหายไปหมด แต่พอทุกอย่างถึงจุดพีคสุดๆ มันก็จะเริ่มลดลงมาเองเรื่อยๆ จากความไม่ชอบ ความทนไม่ได้ กลายเป็นเฉยๆ เริ่มชาๆ คล้ายซอมบี้เข้าไปทุกที

ที่ทุกอย่างคลี่คลายลงไป อาจจะเป็นเพราะเราได้ค้นพบอะไรหลายๆอย่างในการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมแบบนี้ เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราไม่ชอบที่คนอื่นเป็นหรือที่เขาทำ เรากลับเริ่มจะเป็นคล้ายเขา อย่างเช่นการนินทา การพูดลับหลัง เมื่อก่อนเราไม่ค่อยนินทาใคร เพื่อนเม้าท์กันเราก็เฉยๆ แต่พอตอนนี้ พอเรามีเรื่องที่ไม่ชอบหรือคนที่ไม่ชอบเราก็เริ่มทำแบบที่เขาทำกับเราบ้าง พอรู้ตัวอีกทีก็เริ่มกลายเป็นคนขี้เม้าท์ไปแล้ว ซึ่งเราก็ไม่ชอบตัวเองในแบบนี้เลย พอคิดได้แบบนั้นก็ตัดสินใจ ลด ละ เลิก ดีกว่า ทำยากเหมือนกัน แต่ถ้าให้เลือก เลือกเป็นตัวเองแบบเดิมดีกว่า ชอบแบบนั้น มีความสุขกว่าตอนนี้เยอะ

จริงๆการที่เราเริ่มเม้าท์ๆมอยๆ มันก็มาจากการที่เราไม่ชอบนิสัยคนอื่น พอสะสมมากๆเข้าก็รู้สึกอึดอัด ยิ่งมีเพื่อนให้ระบาย พอพูดออกมาแล้วก็สบายใจขึ้น ที่นี้ก็เลยกลายเป็นการพูดจนเริ่มจะติด จริงๆทุกคนก็มีข้อเสียทั้งนั้นแหละ ไม่มีใครที่ดีทั้งหมด หรือเลวทั้งหมด มาคิดๆดูคนที่เราไม่ชอบ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนไม่ดีซะทั้งหมด ส่วนที่ดีของเขาก็คงมี แต่เรามักจะมองข้ามไป มองแต่เรื่องที่เราไม่ชอบ จริงๆเขาอาจจะเป็นลูกที่ดี เป็นพี่เป็นน้องที่ดีของใครหลายคนแค่ไม่ใช่กับเราเท่านั้นเอง

ในความเป็นจริงคือเราไม่สามารถไปเปลี่ยนให้ใครมาเป็นแบบที่เราชอบได้ทั้งหมด ทุกคนโตมาไม่เหมือนกัน การเลี้ยงดู การใช้ชีวิต สิ่งแวดล้อม ประสบการณ์ มุมมองการใช้ชีวิตยิ่งไม่มีทางเหมือนกัน จะให้คนอื่นมาคิดเหมือนที่เราคิดก็คงไม่ได้ หลายครั้งเคยคิดว่า "ทำไมเขาทำแบบนั้นนะ" "ทำไมเขาคิดแบบนั้นล่ะ" "ทำแบบนั้นมันไม่ถูกนี่นา" แต่ความจริงคือไม่มีอะไรที่ผิดหรือถูกทั้งหมด ผิดถูกขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราไปตัดสินคนอื่นซึ่งจริงๆเราก็ถือที่วัดกันคนละอันคนละแบบ อย่างเช่นเอาไม้บรรทัดไปชั่งน้ำหนักสิ่งของก็คงไม่ใช่ ดังนั้นเราจึงตัดสินบางสิ่งว่าถูกหรือผิดจริงๆโดยอาศัยแค่มุมมองของเราเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แถมเราก็ไม่ได้ดีเลิศเลอเพอร์เฟคพอที่จะไปติดสินคนอื่นด้วยซ้ำ

มนุษย์นั้นมีความแตกต่างและหลากหลาย ทางที่เราทำได้ดีที่สุดก็คือพยายามยอมรับความแตกต่างนั้น แต่ถ้าทำยังไงก็ยอมรับไม่ได้จริงๆ ปรับตัวที่จะอยู่ร่วมกันไม่ได้จริงๆ ก็แค่ต่างคนต่างอยู่ไม่ก้าวก่ายกันก็คงจะพอ ไม่จำเป็นที่จะต้องเกลียด หรือทำสิ่งแย่ๆใส่กัน เพราะจริงๆแล้วอาจจะไม่มีใครที่ผิด ไม่มีเขาผิด เราผิด ก็แค่ทัศนคติไม่ตรงกัน แนวทางการใช้ชีวิตไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง

การเปลี่ยนจากซอมบี้ให้กลายมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง อาจทำได้ด้วยการตั้งเป้าหมาย หรือหาสิ่งที่ชอบหรืองานอดิเรกทำ เพราะถ้าเราได้ทำสิ่งที่ชอบ ถึงแม้จะทำงานจนแทบไม่มีเวลาเหลือแต่เราก็จะหาเวลาให้กับความสุขของเราได้อย่างแน่นอน อย่างเรารู้ตัวว่าชอบอ่านหนังสือ ก็พยายามหาหนังสือดีๆมาอ่าน หนังสือที่ให้กำลังใจ หนังสือที่เราชอบ หรืออาจจะเป็นนิยายชวนฝันอ่านให้สบายใจ อ่านจนเพ้อกันไป นอกจากนี้เราก็ชอบปลูกต้นไม้ ชอบดอกไม้ ก็นั่งวางแผน นั่งหาวิธีปลูกต้นไม้ปลูกผักกินเองตามพันทิป หรือบางทีก็เรียนวาดรูป เรียนจัดดอกไม้จากยูทูป

พอได้เริ่มหาสิ่งที่ชอบทำก็รู้สึกว่าชีวิตมีความสุขขึ้นเยอะ หรือว่าจริงๆแล้วที่เรามีเวลาไปคิดลบๆคิดแย่ๆนี่อาจจะเป็นเพราะเราว่างมากจนเกินไปสินะ พอได้หาอะไรทำชีวิตก็ดูจะมีสีสันขึ้นมา ถึงสิ่งที่เราเริ่มทำจะเป็นสิ่งเล็กๆแต่ก็เป็นสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุข (ปริมาณไม่สำคัญเท่าคุณภาพ-ไม่เกี่ยว นึกขึ้นได้ ><)

การเรียนรู้ที่จะอยู่และหาหนทางที่จะมีความสุข ดีกว่าจมอยู่กับทุกข์ จมอยู่กับความคิดไม่ดีความคิดแย่ๆเนอะ จริงๆเราก็บอกตัวเองเสมอว่าเราต้องอยู่แบบมีความสุข เราไม่ควรทนหรือรองรับอะไรที่แย่ๆ เราสมควรได้รับแต่สิ่งดีๆ เพราะเราทำแต่สิ่งดีๆเสมอ (เป็นตรรกะโง่ๆแต่เป็นตรรกะที่สบายใจ ก็โอเค๊) แต่บางครั้งคนเราก็ต้องมีหลงลืมไปบ้าง เผลอทำตัวที่จะได้แต่สิ่งแย่ๆกลับมา ไม่เป็นไรหรอกยังไงทุกอย่างก็เป็นบทเรียนในชีวิตทั้งนั้น ถึงจะเสียอะไรไปบ้างแต่ก็ได้อะไรกลับมาเสมอ และในทางกลับกันก็ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยที่ไม่ต้องเสียอะไรบางอย่างไป

แต่ถึงยังไงซอมบี้ตัวนี้ก็ยังมีความเป็นซอมบี้อยู่ แต่ก็เริ่มจะกลับมาเป็นมนุษย์และจะกลายเป็นมนุษย์คนดีคนเดิมคนเดียวในไม่ช้าอย่างแน่นอน แต่จริงๆบางคนก็ชอบอยู่แบบซอมบี้นะ อันนี้ก็แล้วแต่ ชีวิตเราเราต้องเลือกเอง เรามีสิทธิ์เลือก <3




ตัวฉัน.. ในวันที่เริ่มเปลี่ยนจากซอมบี้กลายเป็นคน




วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เรื่องเศร้าๆ


เคยเป็นมั้ย อ่านอะไรเศร้าๆก็น้ำตาไหล ดูละคร ดูหนังพอถึงฉากซึ้งฉากดราม่าทีไรร้องไห้ตลอด ทุกคนก็คงเคยเป็นบ้าง แต่ไม่รู้ทำไมเราเป็นตลอด คงจะเป็นคนที่ sensitive มากเกินไป นี่เป็นโรครึป่าว หรือจริงๆแล้วเราเป็นเด็กมีปมใช่มั้ย ไม่รู้ต้องทำไงให้อาการพวกนี้มันหายไป บางครั้งก็น่าอายนะ เดินๆอยู่เพลินๆดันเผลอไปคิดเรื่องเศร้าน้ำตาก็พากันจะไหลออกมา บางครั้งเดินอยู่ตรงสยามงี้ ยืนอยู่ป้ายรถเมล์ที่คนเยอะๆงี้ มากกว่าอายคืออายมากกกก

เป็นคนที่ไม่ชอบเรื่องเศร้าเลยจริงๆ เวลาเลือกดูละคร ดูหนังจึงมักจะเลือกเรื่องตลกๆ เน้นแนว comedy ไม่เน้น drama อยู่เสมอ ไม่รู้สิ รู้สึกว่าเราควรดูเพื่อคลายเครียด แต่ก็เข้าใจเพื่อนหลายๆคนนะที่ชอบดูแนว drama น้ำตาไหลพราก เพราะสิ่งที่แต่ละคนต้องการจากการดูหนังก็คงจะแตกต่างกันจริงๆนั่นล่ะ

แล้วถามว่าเวลาเราเจอเรื่องเศร้าเจอเรื่องผิดหวังเราทำยังไง sensitive ขนาดนี้ไม่ร้องไห้จนน้ำตาท่วมบ้าน กินยานอนหลับแบบไม่ฟื้นไปเลยมั้ย ตอบตรงนี้เลยว่าไม่ เราคิดว่าการจบชีวิตตัวเองไม่ใช่คำตอบของปัญหาอะไรก็แล้วแต่ที่เกิดขึ้นเพราะปัญหานั้นยังไม่หายไป ถึงยังไงก็ต้องมีคนมารับปัญหานั้นต่อไปจากเรา อาจจะเป็นลูก เป็นพ่อแม่เรา เป็นคนในครอบครัว หรืออาจเป็นเพื่อน เป็นผู้ใหญ่ที่เราเคารพรัก มันคงไม่น่ารักเลยที่เราจะเอาความทุกข์โยนไปให้คนที่เรารักหรือรักเราแบบนี้ถึงแม้เราอาจจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม นี่ล่ะเขาถึงเรียกว่าการคิดสั้น มันคงเป็นแค่ชั่ววูบเดียวจริงๆ ถ้ามีเพื่อนหรือคนในครอบครัวกำลังเจอเรื่องทุกข์ใจทางที่เราทำได้ก็คงจะต้องให้ความรักเขามากๆ อย่าให้เขาต้องอยู่คนเดียวเลย เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้

แน่นอนว่าเราจะต้องน้ำตาแตกเหมือนเขื่อนพังอยู่แล้วเวลาที่มีปัญหาหรือเจอเรื่องเศร้าในชีวิต มันเป็นอารมณ์ที่เราคงหลีกเลี่ยงไม่ได้แต่สิ่งที่ทำได้ก็แค่ปล่อยไปตามธรรมชาติ เสียใจก็ร้องไห้ไป ร้องไห้ให้พอ เพราะยังไงก็คงไม่มีใครร้องไห้ตลอดเวลาไปตลอดชีวิตหรอก พอถึงจุดจุดหนึ่งเราก็หยุด พอหยุดร้องก็เอาเวลามาแก้ไขปัญหาต่อไป โชคดีที่แม่เรามักจะสอนเราอยู่เสมอว่าทุกปัญหามีทางออกเสมอ บางปัญหาเราไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ปล่อยให้เวลาเป็นตัวช่วยที่ทำให้ปัญหานั้นเบาบางลง พูดแบบนี้มันก็ดูง่ายเนอะ ดูเหมือนเป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้เลย แต่เชื่อเราเถอะ เราผ่านมาหลายครั้งละ ไม่ว่าปัญหาอะไรมันก็จะต้องมีทางออกเสมอ

ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากจะเจอปัญหาเจอความทุกข์ใจหรอกแต่ชีวิตเราตั้งอยู่บนความไม่แน่นอนไง ดังนั้นมันจึงเลือกไม่ได้ แล้วทีนี้จะทำไงล่ะ ฟังดูไม่โอเคเลยใช่มั้ย เราจะบอกแบบนี้นะ คือเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องธรรมดา ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป สังเกตดูเรื่องที่เราเครียดๆมันก็จะมีไม่กี่เรื่อง อย่างเรื่องที่ยังมาไม่ถึง หรือเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ยกตัวอย่างเช่นตอนที่เราไป work and holiday ที่ melbourne ช่วงแรกๆ เป็นอะไรที่แบบโดดเดี่ยว หวาดกลัว หลงทาง ไม่รู้จะไปทางไหนมากๆ ช่วงนั้นน้ำตาจะไหลตลอดเวลา คิดเลยว่าเรามาทำอะไรอยู่ที่นี่นะ

อาทิตย์แรกๆเป็นอะไรที่ panic มากๆ ยังจำได้ว่าวันแรกที่ถึงนี่ตื่นเต้นมาก จริงๆก็ตื่นเต้นตั้งแต่อยู่ไทยแล้วล่ะ แต่ออกแนวดีใจ เราจะได้ออกไปแตะขอบฟ้าสักที ได้เจอโลกกว้าง มีเพื่อนใหม่ ชีวิตดี สดใส บลาๆๆ แต่พอผ่านไปสักอาทิตย์สองอาทิตย์ภาพตัดมาที่โลกแห่งความจริงเรานี่นั่งโดดเดี่ยวหมดเรี่ยวแรงอยู่ในสวนสาธารณะกันเลยทีเดียว อากาศก็หนาว แต่ไม่รู้จะไปไหนที่จะไปก็ไม่มี เงินที่แลกติดตัวไปก็ใกล้จะหมด เพื่อนก็ไม่มีอีก มันเศร้ามากเลยนะตอนนั้น ทั้งเศร้าทั้งเหงาคิดถึงบ้านอีกตะหาก เลยไปนั่งเป็นนางเอกMV แถวสวนสาธาณะอยู่บ่อยครั้งเลยเหมือนกัน

คือเราไป melbourn คนเดียว ญาติมีก็จริงแต่อยู่นอกเมืองไกลกันมาก บ้านเราก็ต้องหาเอง งานก็ต้องหาเอง เบอร์โทรศัพท์ก็ต้องไปเปิด บัญชีธนาคารก็ต้องมี ตอนนั้นตัวคนเดียว ต้องทำอะไรคนเดียว ความรู้สึกคือกลัวไปหมด มันไม่มีใครหรืออะไรที่จะทำให้เราสบายใจหรือพึ่งพิงได้เลย แล้วเป็นการไปต่างประเทศครั้งแรก ทั้งๆที่ปกติตอนอยู่ไทยก็แทบไม่ได้ไปไหนอยู่แล้ว อยู่มหาลัยก็กลับบ้านทุกอาทิตย์ เหมือนอยู่บ้านมากกว่าอยู่มหาลัยอีก คือเป็นคนติดบ้านมาก แล้วนี่ต้องไปไกลขนาดนั้น ไปในที่ที่ไม่รู้จักใครเลย ดีหน่อยมีช่วงแรกที่พี่รหัสพาไปเดินดูนู่นนั่นนี่ แต่แค่พักเดียวพี่ก็กลับไทยไป

ไม่รู้สำหรับคนอื่นมันจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ขนาดไหน แต่สำหรับเราตอนนั้นเป็นเหมือนเด็กที่เพิ่งเผชิญโลกกว้างเป็นครั้งแรก ปัญหาเรื่องเงิน เรื่องงาน เรื่องบ้านเป็นอะไรที่ใหญ่มากๆสำหรับเรา ตอนนั้นคือเครียดมาก ยังดีหน่อยที่ทางเลือกอันดับแรกของเราคือการเข้าวัด มันก็ตลกดีนะ ที่คนเราตอนชีวิต Happy มีความสุขดีไม่เคยนึกถึงวัด แต่พอมีเรื่องทุกข์ใจนี่วัดกลายเป็น choice อันดับแรกๆที่เลือกเลย

แล้วการเข้าวัดก็ไม่เคยทำให้เราผิดหวัง โชคดีหน่อยที่วันนั้นมีการเทศน์ เราจึงได้ข้อคิดมาหลายอย่าง ทั้งๆที่ทุกๆอย่างก็เป็นเรื่องธรรมดา เรื่องที่เราก็รู้ๆกันอยู่แล้ว แต่พอปัญหามาบังตากลับมองไม่เห็นคิดอะไรไม่ออกไปซะอย่างนั้น สิ่งที่เราได้ค้นพบ ทางออกของปัญหาที่เรากำลังเจอก็คือการอยู่กับปัจจุบันไม่ต้องกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ไม่ต้องมัวแต่คิดถึงอดีตที่ผ่านไปแล้วเพราะเราคงแก้ไขอะไรไม่ได้ ทางที่ดีคือมีสติให้มากที่สุด รู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ แล้วทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

มันก็จริงนะ เราพบว่าตัวเองมักจะกังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงอยู่เสมอ กลัวว่ามันจะแย่ อย่างตอนแรกทำงานในร้านอาหารซึ่งทั้งครัวเป็นต่างชาติแทบทั้งหมด ตอนนั้นภาษาก็ไม่ได้ดีมาก บรรยากาศการทำงานก็เร่งรีบ เครียดไปหมด ตอนนั้นก่อนไปทำงานร้องไห้ตลอด รู้สึกไม่อยากไป แต่ไม่ไปก็ไม่ได้ เงินก็ต้องหา งานใหม่ก็ยังหาไม่ได้ ไหนจะค่าเช่าบ้าน ค่ากิน ยังไงก็ต้องอดทนแล้วทำไป ตอนนั้นทุกข์ใจมากๆจริง

แต่พอมาคิดดู เหตุการณ์ทั้งหลายมันยังไม่เกิดเลยเราก็กลัวไปก่อนแล้วร้องไห้ไปก่อนแล้ว กลัวทำงานผิดพลาดกลัวโดนหัวหน้าด่า (หัวหน้าเชฟตอนนั้นโหดมากจริงๆT^T) เรากลัวไปก่อนทั้งๆที่มันยังไม่เกิดขึ้น แล้วการที่เรากลัวไปก่อนมันกลับส่งผลเสียทำให้เราไม่มีความสุขในการทำงาน ไม่ได้เปิดใจจะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ มัวแต่กลัวอย่างเดียว แต่พอหลังจากไปวัดครั้งนั้น เราก็ลองมาปรับตัวเองดู ปรับความคิดใหม่ ทุกอย่างก็ดีขึ้นนะ อย่างน้อยเราก็ไม่ร้องไห้ก่อนไปทำงานแล้วล่ะ ถามว่างานเครียดมั้ย ก็ยังคงเครียดอยู่เหมือนเดิมแร่ะ แต่เราไม่เครียดเท่าเดิมแล้ว เรามีความสุขมากขึ้นเวลาทำงานนะ ตั้งใจทำงานที่อยู่ตรงหน้าไป ทำให้ดีที่สุด ไม่มัวแต่มานั่งกลัวว่ามันจะไม่ดี จริงๆแล้วเราเชื่อว่าถ้าเราทำปัจจุบันให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ผลลัพธ์มันก็คงไม่ได้ออกมาแย่จนเกินไปหรอก จริงๆนะ ถึงมันจะออกมาแย่ก็แค่ยอมรับมัน ถ้าเราแก้ไขได้ก็แก้ไขไป ถ้าแก้ไม่ได้จริงๆก็ลองหาหนทางอื่นๆดู

ที่สำคัญอีกเรื่องคือเราต้องรักตัวเอง รักครอบครัว รักคนที่รักเราให้มากๆ หรือจะรักอะไรก็แล้วแต่ รักในงานที่ทำ รักดิน รักฟ้า รักน้ำ รักอากาศ ถ้าเรามีแต่ความรักรอบๆตัวเรา ความทุกข์ก็คงจะแทรกเข้ามายากแหละ มั้งง...

นี่ก็ไม่รู้กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่นะ คุยกับตัวเองไปวันๆ คุยกับตัวเองไปเรื่อยๆเหมือนคนสติไม่ดีแล้วล่ะ แต่มันก็ดีนะ เหมือนได้ทบทวนตัวเอง ไม่ได้หวังว่าจะมีใครเข้ามาอ่านเยอะๆหรอก แต่ถ้ามีคนได้อะไรดีๆจากเราไปบ้างก็คงจะดี ไม่ได้หมายความที่เราเขียนมาทั้งหมดนี่ดีทั้งหมดนะ แต่มันก็คงจะมีสัก 1 % ที่เป็นเรื่องดีๆบ้างล่ะน่าา เอาเหอะจริงๆก็ไม่ได้อะไรมากมาย ถึงจะมีคนอ่านหรือไม่มี เราก็มีความสุขดีของเราอยู่แล้ว หวังว่าคนอื่นๆ สิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตอื่นๆบนโลกใบนี้หรือโลกใบอื่นจะมีความสุขมากๆมีทุกข์น้อยๆเนอะะ รัก รัก รัก ขอให้เต็มไปด้วยความรักที่บริสุทธิ์


ตัวฉัน... ตอนที่เขียนนั้นควรทำงานอยู่

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ดอกไม้ และเธอ

สวัสดี...

หลังจากหายไปนานเพราะว่ายุ่งๆ ในที่สุดเราก็กลับมาว่างอีกครั้ง (คงเป็นช่วงเวลาสั้นๆ T^T) ไหนๆก็ไหนๆละ กลับเข้าสู่หนทางการเขียน (ที่คิดว่าชอบนักชอบหนาา !) ดีกว่า เป็นนักเขียนก็ต้องมีเรื่องเล่าใช่มะ งั้นขอเล่าเรื่องที่เพิ่งจะผ่านไปเมื่อวานละกัน จริงๆคือจำเรื่องก่อนหน้านั่นไม่ได้ 555 ย้อนไปแค่วันเดียวพอ..

เดี๋ยวๆ จริงๆแล้วมันต้องย้อนไปนานกว่านั้นสิ เรื่องราวเริ่มต้นที่ เพื่อนในกลุ่ม บิวบิ้ว ครูสาวคนสวย จะเข้ารับปริญญาที่ มศว แต่มีแค่วันเดียวที่เพื่อนจะซ้อมที่ อโศก นอกเหนือจากนี้เพื่อนเข้าป่า เข้าดงไปองครักษ์ค่ะ เราเลยตัดสินใจว่าต้องไปร่วมยินดี วันที่เพื่อนซ้อมใน กทม นี่ล่ะ วันอื่นหนูไปไม่ไหวข่าา

เอาล่ะจะเริ่มเข้าเรื่องละ เวลาไปยินดีเราก็ควรจะมีของขวัญติดไม้ติดมือไปใช่มั้ย จะซื้อตุ๊กตาก็รู้สึกว่าเพื่อนโตละ จะซื้อเครื่องสำอางค์ก็กลัวเพื่อนจะมีละ คิดว่าจะซื้อดอกไม้ให้ ก็ดูธรรมดาไป แต่จากการที่เรียนจัดดอกไม้มาโดยตลอดกับอาจารย์ยู (ยูทูป) เลยตัดสินใจว่าจะจัดดอกไม้ไปให้เพื่อน

คิดได้ดังนั้นจึงไปหาซื้อดอกไม้ที่ตลาดแถวบ้าน วางแผนดีมากจนขนาดที่ไม่รู้ว่าร้านอยู่ที่ไหน แต่จะกลัวทำไม เรามีคุณนายจอยแผนที่เทวดา จะไปที่ไหนขอให้บอก ไปครั้งเดียวก็จำได้ละ มารดาข้าพเจ้าเอง เมื่อได้พิกัดมาเรียบร้อยก็ไปยืนจดๆจ้องๆอยู่หน้าร้านขายดอกไม้เพราะไม่รู้จะใช้ดอกไหนอะไรยังไง แต่สุดท้ายก็หลับหูหลับตาหยิบมาทั้งหมดสามชนิด พร้อมกับซื้อกระดาษสา ตาข่ายสี แล้วก็โบว์ 2 ดอก เพราะจัด 2 ช่อ

กลับมาจากตลาดเย็นนั้นก็เอ้อระเหยลอยชายอยู่สักพัก รอพิรุณพร่ำรัก ละครช่อง 33 HD มาสักพักค่อยเริ่ม เพราะจะได้ตะล่อมให้คุณนายจอยช่วยทำไปด้วยดูละครไปด้วยได้ อิอิ แผนสูง แต่โดยส่วนตัวไม่ค่อยชอบเรื่องนี้ รู้สึกว่าพระเอกนางเอกเล่นแข็งๆ ไม่ชอบไดอะล็อกด้วย แต่คุณนายเขาดูเราก็เปลี่ยนช่องไม่ได้ ตัวละครที่ชอบเรื่องนี้มีอยู่ตัวเดียว ก็คือ คอลลิน เพราะน้องคนที่เล่นน่าตาน่ารักดี ู^^

ระหว่างดูละครไปก็จัดดอกไม้ไป เหมือนจะดี ดูชิล ดูสโลไลฟ์ แต่พอภาพตัดมาเป็นความจริง มันไม่สวยๆอย่างที่คิด ดอกไม้กระจัดกระจาย ใบไม้เกลื่อนเต็มพื้น ถามว่าจัดเป็นไหม?? ก็ตอบเลยว่า ม่ายยย T^T ถึงจะเรียนกับอาจารย์ยูมาสักพัก แต่พูดเลยว่าทฤษฎีกับปฏิบัติจริงนั้นไม่เหมือนกัน เราก็ได้แต่จัดไปมองไป ซ้ายดี? ขวาดี? บนล่าง เฉียงขึ้นเฉียงลง?? ก็ได้แต่อาศัยความรู้สึกของตัวเองเอาว่าจัดแบบไหนน่าจะดี จัดไปจัดมาก็ได้ออกมา 2 ช่อพอดิบพอดี  ดอกไม้แทบไม่พอ 55 ซื้อมาน้อยค่ะ เบี้ยน้อยหอยสังข์ สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการจัดดอกไม้ครั้งนี้คือ ซื้อเอาถูกกว่าและสวยกว่าา!! 555555 เอาน่าา ของเราก็งามไม่หยอกก หราาาา!!

เอารูปมาอวด!! เอ้ยย.. มาให้ชมค่ะ





ถึงทั้งสองช่อจะดูรกยิ่งกว่าป่าอะเมซอน แต่สำหรับการจัดครั้งแรก เราก็ภูมิใจที่สุด มองเองก็สวยเอง ก็ไม่ได้อะไรมาก แค่อวดคนอื่นไปทั่ว 5555 บอกเพื่อนที่ไปทุกคนว่า จะซื้ออะไรก็ซื้อ แต่ไม่ต้องซื้อดอกไม้นะ เดี๋ยวของเราไม่เด่น เป็นไงคะคุณผู้ชมมม ร้ายกว่านี้ก็โสมิกาละค่ะ (จากละครเรื่องเพียงชายคนนี้ไม่ใช่ผู้วิเศษ)

เราไป มศว โดยลง BTS สถานีอโศก แล้วเดินออกประตู 6 เดินมาขึ้น TAXI หน้าซอยสุขุมวิท 23 เพราะคิดว่ารถไม่น่าจะติดมาก แล้วก็ใกล้ มศว กว่าอีกทางนึง แต่ความจริงก็คือ รถก็ติดทุกทางล่ะค่ะ
แต่เราก็ไม่ได้รีบมาก เพราะไปกันประมาณ 5 คน ถ้าสายก็สายกันหมด มีพวกค่ะ (ร้ายไปอีกก)

เมื่อถึงมหาลัยเราก็เจอกับบรรยากาศไม่ต่างจากที่คิดเท่าไหร่ ซึ่งถ้าใครเคยไปงานรับปริญญาที่ต่างๆก็คงจะพอนึกภาพออก คือคนเยอะมาก เวลาเดินก็ต้องพยามเกาะแข้งเกาะขา มองซ้ายมองขวาเอาไว้ ไม่งั้นอาจจะพลัดหลงกับเพื่อนที่ไปด้วยกันได้ ส่วนสัญญาณโทรศัพท์น้านนน บางค่ายก็ลาหายตายสนิทค่ะ ทางที่ดีก็พยายามอย่าแยกจากเพื่อนดีกว่าเดี๋ยวจะหากันไม่เจอ

แต่ถึงเราจะไม่หลงกับเพื่อนที่มาด้วยกัน แต่เราก็หาบัณฑิตไม่เจออยู่ดี หลังจากเดินโง่งมอยู่พักใหญ่ก็ได้เจอกับบัณฑิตสุดสวย เราก็ไม่รอช้า รีบเอาดอกไม้ไปอวดทันที ตอนแรกบัณฑิตก็ไม่มีทีท่าอะไรกับดอกไม้ของเรา แต่พอบอกว่าเราจัดเองนะ พร้อมกับยัดเยียดความรู้สึกตื่นเต้นใส่เข้าไป บัณฑิตก็ดูจะตื่นเต้นขึ้นมา แค่นี้ก็พอละ มิชชั่นคอมพลีตเต็ดมากมาก พอเห็นคนชื่นชมกับสิ่งที่เราตั้งใจทำ มันรู้สึกดีใจ ชื่นใจบอกไม่ถูก ถึงเพื่อนทุกคนจะชมตามมารยาทก็ตาม แต่เราก็จะมองข้ามๆไป ถือว่าเขาชมจริงๆละกัน 5555

เรื่องราวเหมือนจะจบ แต่มันไม่จบอยู่แค่นั้นครัชชชคุณผู้โช้มมมมม ระหว่างเดินตามบัณฑิตสาวสวยไปหาเพื่อนบัณฑิตอีกคน และในระหว่างที่เราเห็นเพื่อนบัณฑิตอีกคนแล้วและกำลังจะเข้าไปทัก สายตาก็ดันไปป๊ะเข้ากับแฟนเก่า!! เข้าใจคำว่าชะงักกลางอากาศในทันทีค่ะคุณณ

จริงๆจะเรียกว่าแฟนเก่าก็ไม่ถูกซะทีเดียว ก็เป็นแค่คนที่เคยคุยๆกัน แล้วหายไปจากกันแบบงงๆ อะไรไม่เท่าเพื่อนที่ไปด้วยกัน พร้อมใจกันหันมามองเราบ้าง สะกิดบ้าง ทักบ้างว่าเห้ยๆ ตากล้องอ่ะ แล้วพยักเพยิดให้ดู ความรู้สึกตอนนั้นคืออยากจะบอกเพื่อนมากว่า เห็นนานละค่ะเพื่อน เห็นเป็นอันดับสองรองจากบัณฑิตเลยค่ะ ตอนนั้นก็ทำหน้าไม่ถูก แต่ก็พยายามบอกเพื่อนว่าเฉยไว้ค่ะเพื่อน เฉยไว้  คือเรานี่นิ่งมากทำเหมือนไม่มีอะไร แต่เพื่อนมักจะไม่เป็นอย่างนั้น เสมออ!! เพื่อนมักจะตื่นเต้นกว่าเราเสมอค่ะ แล้วจะหวังให้เพื่อนทำเนียน ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรา ไม่มีทาง!! ถ้าคุณคิดว่าเพื่อนคุณจะทำตัวโปรเฟสชั่นนอลอย่างคุณได้ล่ะก็ เรื่องนั้นไม่เคยเกิดขึ้นค่ะ!!!!

จริงๆก็ลังเล ว่าจะเข้าไปทักดีมั้ย หรือจะทำเป็นไม่รู้จักกันดี แต่คิดไปคิดมา เราก็ไม่ได้เกลียดอะไรกัน ถึงเราจะเป็นแฟนกันไม่ได้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้ ของแบบนี้ถ้ามันไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ ตบมือข้างเดียวกี่ครั้งมันก็ดังไม่ได้ เพลงปานก็มา ==' เราก็เลยคิดว่าจะเข้าไปทัก หลังจากที่ทำเป็นมองไม่เห็นไปพักใหญ่ แต่พอหันไปอีกทีนางก็หายไปละ เอิ่มมม ช้าไปสินะ เข้าทำนอง เมื่อเขามาฉันจะไป!! แต่ฉันยังไม่ได้ไป เธอไปซะงั้น!!

เรื่องราวก็ผ่านไปแบบงงๆ จริงๆคนที่เคยรู้สึกดีๆต่อกัน เจอกันอีกทีก็น่าจะคุยกันดีๆเนอะ เพราะเราก็คงไม่มีโอกาสได้เจอกันบ่อยมาก การที่เพื่อนของเรารู้จักเราทั้งสองฝ่ายก็คงจะลำบากใจไม่น้อยกับสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ แต่สำหรับเรา เราโอเคนะที่เธอจะอยู่ตรงนั้น ไม่เห็นต้องหนีหายไปเลย ทำแบบนี้เพื่อนลำบากใจมั้ยล่าา เราไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว เธอก็เป็นแค่ความทรงจำอย่างหนึ่งของเรา ความทรงจำสีจางๆ เลือนลางเต็มที

การที่เราไม่ใช่สำหรับใครบางคนไม่ได้หมายความว่าเขาหรือเราเป็นคนไม่ดี มีโอกาสเจอกันก็น่าจะยิ้มให้กัน คุยกันซะมากกว่า เพราะว่าเราก็ไม่ได้เกลียดกันนี่เนอะ เราไม่ได้เกลียดเธอนะ หรือเธอเกลียดเรา ไม่นะะ!! ไม่น่าพลาดด!! 555555

มีโอกาสก็ทำดีต่อกันไว้ดีกว่า เราไม่รู้ว่าชีวิตของเราในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เนอะะะ...




ตัวฉัน... เมื่อนึกย้อนไปถึงเรื่องราวที่ผ่านมา
5/6/59



วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559

วัยรุ่นมันเหนื่อย!!

ช่วงวัยรุ่นถึงวัยทำงานตอนต้นเป็นช่วงวัยที่แบบโคตรพีค!!!เลยอ่ะ

เรามักจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า "เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อย!!!"อยู่บ่อยๆ

แต่ความจริงแล้วเป็นวัยทำงานนั้น "แม่งงง โคตรเหนื่อยยยย"เลยค่ะ

แต่เอาตามจริงป้ะ ดูไปดูมามันก็เหนื่อยทุกช่วงนั่นล่ะถ้าคิดว่ามันเหนื่อย

งั้นจริงๆแล้วเราก็ควรจะสนุกกับการใช้ชีวิตดีกว่าเนอะ

เหนื่อยก็เหนื่อยเส้!! มา!! จะพุ่งชนให้หมดเลยยย!! (ออกแนวบ้าคลั่ง ==)




ตัวฉัน... ในเช้าที่ดูมึนๆ ในออฟฟิศที่เปล่าเปลี่ยวและเสียวต้นคอซะเหลือเกิน !!

4 เมษายน 2559


HISTORY OF SOUTHEAST ASIA FROM THE 19TH CENTURY TO THE PRESENT



 บทความต่อไปนี้ เป็นส่วนหนึ่งของวิชาประวัติศาสตร์ ผู้เขียนเขียนด้วยความรู้และประสบการณ์ชีวิต ณ ช่วงเวลานั้น มีความมึนงง สับสน ในการเขียนอยู่ไม่น้อย >//< ฮ่าๆๆ ประเด็นอาจจะไม่ค่อยเป็นประเด็นเท่าไหร่ จุดประสงค์ตอนนั้นน่าจะเป็นการพยายามบูรณาการความรู้ต่างๆให้เชื่อมโยงสอดคล้องกับเรื่องที่เรียน งานเขียนจึงออกมาคล้ายๆขนมลอดช่องที่ใส่ทั้งสลิ่ม และทับทิมกรอบ ถึงออกจะแปลกๆสักหน่อย แต่ก็พอกินได้ 

พอได้กลับไปอ่านงานเก่าๆ รู้สึกเหมือนได้กลับไปอ่านไดอารี่ของตัวเอง มีความรู้สึกยังไงไม่รู้ 5555 บางขณะก็รู้สึกว่าเราช่างตื้นเขินยิ่งนัก ทำไมคิดอะไรเด็กจังเลย แต่ในบางขณะก็รู้สึกว่า เอ๊ะะ เราคิดแบบนั้นได้ยังไง ลืมความรู้สึกหลายๆอย่างไปแล้ว  แต่ความรู้สึกโดยรวมอยู่ในโซนบวกนะ :) 

ตัวฉัน... วันนี้ที่อากาศร้อนมากกว่าเมื่อวาน 
3 เมษายน 2559 




HISTORY OF SOUTHEAST ASIA FROM THE 19TH CENTURY TO THE PRESENT
ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้คริสต์ศตวรรษที่ 19 จนถึงปัจจุบัน



เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่มีความสำคัญมากอีกแห่งหนึ่งของโลก นับว่าเป็นแหล่งที่มีทรัพยากรธรรมชาติอยู่มากมาย จึงถือเป็นพื้นที่ที่เหล่าประเทศมหาอำนาจต่างต้องการครอบครองและพยายามช่วงชิงไปจากคนพื้นเมืองมาตั้งแต่อดีต ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ดูสวยหรูอย่างการเข้าเพื่อต้องการนำความเจริญ นำอารายธรรมมาสู่ภูมิภาคแห่งนี้ หรืออ้างว่าต้องการเข้ามาเผยแผ่ศาสนา โดยกล่าวว่าเป็นภารกิจของคนผิวขาว ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ก็มองได้เพียงอย่างเดียวว่าประเทศมหาอำนาจเหล่านั้นเข้ามาในภูมิภาคแห่งนี้ก็เพื่อความมั่งคั่ง เพื่อผลประโยชน์ทั้งสิ้น เพราะการที่ได้มีอำนาจเหนือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เหมือนกับว่าได้ครอบครองแหล่งทรัพย์มหาศาลของโลกนั่นเอง 

จนแม้กระทั่งปัจจุบันในยุคโลกาภิวัฒน์ ถึงแม้จะไม่ได้มีการเข้ายึดครองหรือครอบครองประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยตรงหรือเห็นได้ชัดเจนเหมือนในยุคล่าอาณานิคมแล้วก็ตาม แต่เมื่อเราพิจารณาให้ดี การเข้ามามีอิทธิพลของชาติมหาอำนาจในภูมิภาคนี้ในปัจจุบัน กลับเข้ามาในรูปแบบที่น่ากลัวกว่าเดิมมาก เพราะเข้ามาแบบไม่ให้ผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ทันรู้ตัว ฝังรากลึกจนถึงกระทั่งแม้รู้ตัวก็ยากเกินกว่าจะถอนตัวออกได้ทัน การเข้ามาในรูปแบบใหม่นี้เข้ามามีอิทธิพลกับชีวิตของผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นอย่างมาก เป็นการเข้ามาในรูปแบบของการค่อยๆแทรกซึม ซึมลึก ฝังแน่น โดยเฉพาะอิทธิพลทางวัฒนธรรมและความคิด และยิ่งในยุคโลกาภิวัฒน์ที่ทุกๆอย่างดูจะเคลื่อนตัวไปได้อย่างรวดเร็ว ทั่วโลกสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้เพียงแค่กดปุ่ม จึงถือเป็นยุคไร้พรมแดนอย่างแท้จริง และนั่นทำให้ประเทศมหาอำนาจสามารถป้อน หรือครอบงำทางความคิดของผู้คนได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะผู้คนในประเทศกำลังพัฒนา 

ในหลายๆครั้งเราเห็นถึงการครอบงำทางความคิด โดยวิธีที่ง่ายและดูจะลงทุนน้อย และมีการสูญเสียน้อยกว่าการใช้กำลังทหารเข้ายึดครอง(ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็คงแทบจะไม่มีใครทำกันแล้ว) คือการใช้สื่อ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ โฆษณา เพลง หรือการปลูกฝังค่านิยมบางประการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราสามารถเห็นได้ชัดเจนในปัจจุบัน เรามักจะมีค่านิยมบางประการที่ถูกป้อนเข้าหัวสมองตั้งแต่ที่เรายังไม่ทันรู้ประสีประสา ดังนั้นจะขอยกตัวอย่างง่ายๆซึ่งใกล้ตัว(ผู้เขียน)มาก ก็คือค่านิยมของการที่ผู้หญิงไทยต้องมีผิวขาว ซึ่งดูจะเป็นแนวคิดหรือความเชื่อที่ขัดกับพันธุกรรมของเราเป็นอย่างมาก แต่เราก็มีความเชื่อ ความคิดเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก ถ้าผู้หญิงคนไหนผิวคล้ำถือว่าผิดมาก ถือว่าเป็นคนที่ดูด้อยกว่าคนที่มีผิวขาว ซึ่งความคิดเหล่านี้ฝังรากลึกมานานจนยากที่จะขจัดออกไปได้โดยง่าย เราถูกซึมซับมาตั้งแต่เด็ก ทั้งจากภาพยนตร์หรือละครซึ่งน้อยครั้งมากที่นางเอกจะผิวคล้ำ ถึงแม้ผิวคล้ำในตอนแรก แต่สุดท้ายก็จะกลายเป็นผิวขาวอยู่ดีเนื่องจากนางเอกต้องปลอมตัวเป็นคนใช้เข้าไปในบ้านพระเอก เพราะฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่าการที่มีผิวคล้ำได้ถูกนำเอามาแทนความต่ำ(ชนชั้น) ความด้อย ความไม่เจริญ หลังจากเรามีชุดความคิดนี้ในขั้นแรกแล้ว เราก็จะมีความคิดชุดใหม่เกิดขึ้นตามมา คือการต้องการให้ผิวของเราเป็นผิวขาว เมื่อคิดได้ดังนั้นเราก็จำเป็นที่จะต้องสรรหาวิธีการต่างๆที่จะทำให้เราผิวขาวขึ้น โดยวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือไปซื้อ ครีมทาผิว Whitening ที่สามารถทำให้สีผิวของเราขาวขึ้นได้ ซึ่งครีมทาผิวเหล่านี้ก็มีขายอยู่ทั่วไปในท้องตลาด มีตั้งแต่สิบกว่าบาทจนถึงราคาเป็นพันเป็นหมื่น ซึ่งถ้าเราจะสังเกตหรือฉุกคิดสักนิด เราจะเห็นได้ว่าผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เร่งผิวขาวเหล่านั้นล้วนมีผู้ผลิตเป็นชาวต่างชาติทั้งสิ้น ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าเป็นการง่ายของประเทศมหาอำนาจที่จะเข้ามามีอิทธิพล และสูบเอาผลประโยชน์จากเรา แต่เราก็ไม่สามารถไปโทษ หรือโยนว่าเป็นความผิดของประเทศเหล่านั้นได้ เพราะสาเหตุที่แท้จริงนั้นก็มาจากตัวเราเองที่ไม่รู้จักพอ เมื่อเกิดความโลภขึ้นมา สติสัมปชัญญะที่ควรจะมีอยู่ก็ถูกบดบังไปได้อย่างง่ายดาย และเมื่อเราขาดสติรู้ตัว ก็คงไม่ยากที่จะตกเป็นเหยื่อของคนฉลาด โดยเฉพาะคนที่วางแผนและทำให้เราเดินลงไปยังกับดักนั้นได้อย่างแยบยล เหมือนนายพรานที่สร้างกับดักเพื่อใช้ดักเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย

นอกจากคติความเชื่อเรื่องผิวขาวแล้ว ผู้เขียนยังอยากจะขอเสนอค่านิยมอีกเรื่องซึ่งผู้เขียนคิดว่าเป็นค่านิยมที่กำลังแพร่หลายในปัจจุบันและเห็นได้ทั่วไป ค่านิยมนั้นก็คือค่านิยมการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อ iphone ซึ่งค่านิยมนี้เป็นค่านิยมที่เชื่อว่าคนที่ใช้โทรศัพท์ยี่ห้อนี้เป็นคนที่มีฐานะ ซึ่งก็อาจจะมีส่วนจริงเนื่องจากราคาของเครื่องก็มีราคาสูงอยู่พอสมควร แต่จากการที่มีวิธีการที่จะซื้อหลายวิธี อย่างเช่นการผ่อนจ่าย ทำให้ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคนที่มีเงินมากเท่านั้นที่จะซื้อได้ คนที่มีฐานะปานกลางก็พอจะซื้อได้เช่นกัน ทำให้ผู้คนทั่วไปอยากจะได้มาเป็นเจ้าของ โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนมีเพื่อนหลากหลายแบบ ทำให้เห็นว่าในหลายๆครั้ง เพื่อนของผู้เขียนหลายคนถึงแม้ที่บ้านจะมีฐานะไม่มากนัก แต่ก็ขอเงินพ่อแม่ไปซื้อโทรศัพท์เพียงเพื่อที่จะต้องการให้เข้ากับค่านิยมที่กำลังเป็นไปในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและผลประโยชน์ที่จะได้รับเป็นเรื่องที่รองลงมา(หรือแทบจะหลังสุด) ซึ่งสิ่งนี้คงจะเป็นผลของค่านิยมที่เราต่างถูกฝังมา อาจจะจากโฆษณา เพราะธีมของโฆษณาเองก็จะดูเรียบหรู มีสไตล์ หรือการที่ใช้เหล่าคนรวย คนดังเป็นพรีเซนเตอร์ หรือเป็นผู้สนับสนุนในละครหลายๆเรื่อง ทำให้เวลาเราดูละครหรือดูหนังก็จะเห็นจนเป็นเรื่องปกติว่าตัวละครในละครก็ใช้ iphone จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่วัยรุ่นโดยทั่วไปจะถูกปลูกฝังค่านิยมเช่นนี้มา ถึงแม้ตัวผู้เขียนจะเห็นด้วยกับทฤษฎีที่กล่าวว่ามนุษย์ไม่สามารถอยู่ตัวคนเดียวได้ ดังนั้นมนุษย์ทุกคนจึงต้องการมีตัวตน มียืนในสังคม แต่การที่จะต้องซื้อโทรศัพท์ราคาแพงเพียงเพื่อที่จะสามารถมีหน้ามีตา และเข้าไปยืนอยู่ในสังคมได้ก็ดูจะเป็นความคิดที่ได้ไม่คุ้มเสีย แล้วเมื่อลองคิดดูว่าสังคมที่เราจะเข้าไปอยู่หลังจากทำตามค่านิยมบางอย่างโดยไม่คิดแล้ว คงจะไม่ใช่สังคมที่น่าอภิรมย์เท่าใดนัก

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนไม่ได้ปฏิเสธว่าการรับเอาวัฒนธรรมของต่างชาติเข้ามาเป็นเรื่องที่ผิดหรือไม่ดี แต่ในปัจจุบัน หลายๆครั้งนั้นเรารับเอามาโดยไม่ทันได้คิดไตร่ตรองให้ดี ถ้าเราจะรับก็ขอให้รับโดยรู้ตัวและให้ถือว่าได้เลือกสรรอย่างดีที่สุดและเหมาะสมกับตัวเราเองแล้ว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวเอง แต่ถ้าเราแค่เพียงรับเอาวัฒนธรรมต่างๆหรือทำตามกระแสนิยมโดยคิดเอาเองว่าเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่เขาทำกัน เราอาจจะไม่ได้รับประโยชน์อันแท้จริงซึ่งซ่อนอยู่ในวัฒนธรรมเหล่านั้นเลย ซึ่งการรับเอาวัฒนธรรมของต่างชาติเข้าก็มาเป็นเรื่องปกติ และเราก็เห็นได้จากรากฐานวัฒนธรรมของเราเองซึ่งมีมายาวนาน

เนื่องจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งอยู่ระหว่างขั้ววัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่สองวัฒนธรรม ซึ่งก็คือวัฒนธรรมของจีน กับวัฒนธรรมอินเดีย ทำให้คงจะเป็นการยากที่จะต้านทานกระแสวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ของสองขั้วมหาอำนาจนี้ได้ เราจึงได้รับรับเอาวัฒนธรรมของทั้งสองวัฒนธรรมนี้มาปรับใช้ในวิถีชีวิตของเรา แต่การรับเอาวัฒนธรรมทั้งสองวัฒนธรรมในอดีตนั้น ผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รู้จักรับ เรารับอย่างฉลาด และปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมดั้งเดิมที่มีอยู่แล้ว อย่างที่เราทราบกันดีว่าการนับถือผีเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของคนในภูมิภาคนี้เนื่องมาจากการใช้ชีวิตที่ต้องพึ่งพิงธรรมชาติ ดังนั้นเราจึงเคารพบูชา จ้าวป่า จ้าวเขา หรือผีบรรพบุรุษ เพื่ออย่างน้อยก็ทำให้เราใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติได้อย่างราบรื่น ไม่หวาดกลัวจนเกินไป แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเรารับเอาศาสนาพุทธจากอินเดีย หรือลัทธิความเชื่อต่างๆจากจีน เราก็ไม่ได้ละทิ้งความเชื่อดั้งเดิมของเราเอง แต่กลับมีการปรับใช้ ประยุกต์ให้เข้ากับความเชื่อเดิมของเรา หรือในบางครั้งก็นำมาใช้ส่งเสริมความเชื่อเดิม อย่างที่เราเห็นได้ในปัจจุบันที่เรายังมีการเคารพนับถือผี นับถือธรรมชาติ อย่างพระแม่คงคา พระแม่ธรณีอยู่  

นอกจากนี้ผู้เขียนยังเคยมีโอกาสได้ไปลงพื้นที่สัมภาษณ์ชาวบ้านในตลาดศรีประจันต์ ซึ่งเป็นชุมชนการค้าแห่งหนึ่งในจังหวัดสุพรรณบุรี และได้ไปสัมภาษณ์คุณยายท่านหนึ่งซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายจีน คุณยายเล่าว่าถึงแม้คุณยายจะถูกสั่งสอนและเติบโตโดยคุณพ่อที่เป็นคนจีนแท้ แต่คุณยายก็ตักบาตรตอนเช้าทุกเช้า และคุณยายก็ไม่เคยละเลยวัฒนธรรมอันดีงามของคนไทย ซึ่งสิ่งนี้ในส่วนตัวผู้เขียนเองคิดว่ามันก็เป็นส่วนหนึ่งที่สามารถสะท้อนให้เห็นว่าผู้คนในภูมิภาคนี้รู้จักปรับตัว รู้จักนำเอาสิ่งใหม่มาประยุกต์ใช้โดยไม่ละเลยสิ่งเก่า ซึ่งแตกต่างจากในปัจจุบัน ที่วัยรุ่น โดยเฉพาะวัยรุ่นไทยที่เปิดรับเอาวัฒนธรรมภายนอกอย่างมาก แต่ไม่ได้รู้จักปรับใช้อย่างเช่นเหล่าบรรพบุรุษของเรา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะบางครั้งเรารับวัฒนธรรมภายนอกมากซะจนกระทั่งหลงลืมไปแล้วว่ารากเหง้า รากฐานที่แท้จริงของเราคืออะไร

ปัญหาเรื่องของการรับวัฒนธรรมจากภายนอกโดยไม่เลือกคัดสรรให้เหมาะสม ก็ดูจะเป็นปัญหาที่น่าเป็นห่วงในภูมิภาคแห่งนี้เพราะสุ่มเสี่ยงต่อการที่อัตลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นจะสูญหายไปได้โดยง่าย แต่ปัญหาจากภายนอกก็ดูจะน่าเป็นห่วงน้อยกว่าปัญหาที่มาจากภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เอง ดังนั้นอีกหนึ่งปัญหาที่ดูจะน่าเป็นห่วงไม่แพ้กันก็คือปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นปัญหาที่เราพบเห็น และเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานตั้งแต่ในอดีต อย่างเช่นดินแดนในบริเวณภาคพื้นทวีปก็จะมีปัญหากันระหว่างดินแดนในเรื่องการแย่งชิงผู้คน เนื่องจากบริเวณภาคพื้นทวีปนั้นมีทรัพยากรอยู่มาก แต่ขาดกำลังคนที่จะใช้ก่อบ้าน สร้างเมือง หลายครั้งดินแดนใกล้เคียงกันซึ่งไม่ได้มีเส้นเขตแดนที่แน่นอนจึงทำการรบกันเพื่อแย่งชิงดินแดนและทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งต่างจากบริเวณกลุ่มเกาะที่มีพื้นที่และทรัพยากรจำกัด การทำสงครามกันในหลายๆครั้งก็เป็นเพื่อการแย่งชิงพื้นที่และทรัพยากรในการดำรงชีวิต

อย่างไรก็ตามถึงแม้ภายหลังยุคล่าอาณานิคม จะเกิดประเทศ และมีเส้นเขตแดนของแต่ละประเทศที่แน่นอนแล้วก็ตาม แต่ปัญหาเรื่องของเขตแดนก็ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน อย่างกรณีที่ใกล้ตัวเราก็คือกรณีพิพาทระหว่างไทยกับเขมรในเรื่องการแย่งชิงพื้นที่บริเวณเขาพระวิหาร ซึ่งปัญหานี้ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้วและก็ยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่ในปัจจุบัน  หรือไม่ว่าจะเป็นประเด็นการทะเลาะกันเรื่องของรัฐซา-บาห์ระหว่างมาเลเซียกับฟิลิปปินส์ที่บั่นทอนความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศ  นอกจากนี้ยังมีกรณีปัญหาข้อพิพาทเปดราบรังการะหว่างมาเลเซียกับสิงคโปร์ที่ต่างก็อ้างสิทธิของตัวเองเหนือพื้นที่ขนาดเล็กในทะเลจีนใต้ นอกจากตัวอย่างที่กล่าวมานี้ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศในอีกหลายๆกรณีด้วยกัน ซึ่งส่วนใหญ่สาเหตุหลักๆก็น่าจะมาจากการขัดผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน เพราะแต่ละประเทศในภูมิภาคแห่งนี้มักถือเอาประโยชน์ของประเทศตัวเองเป็นเรื่องสูงสุดที่ควรทำ ซึ่งในหลายครั้งผลประโยชน์เหล่านั้นก็ไปขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ดีปัญหาความขัดแย้งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นบ่อนทำลายความเจริญรุ่งเรืองที่หลายฝ่ายต่างก็หวังจะให้เกิดขึ้นในภูมิภาคแห่งนี้ เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือการรีบเร่งหาจุดร่วมหรือแนวทางแก้ไขที่จะทำให้ทุกฝ่ายเกิดความพึงพอใจ ซึ่งเราก็จะเห็นได้ว่ามีการพยายามการสร้างองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งก็ล้วนมีจุดมุ่งหมายที่จะช่วยขจัดและบรรเทาปัญหาความขัดแย้งต่างๆที่เกิดขึ้นภายในภูมิภาคแห่งนี้ ส่วนในเรื่องที่ว่าจะได้ผลดีจริงหรือไม่ ก็คงจะขึ้นอยู่กับความจริงจังและจริงใจของแต่ละประเทศในภูมิภาคแห่งนี้เอง

ซึ่งในประเด็นนี้ผู้เขียนก็มองเห็นภาพความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบันว่าคล้ายคลึงกับการแข่งขันฟุตบอลของทีมทีมหนึ่ง และสามารถเปรียบได้ว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็คือทีมฟุตบอลหนึ่งทีมที่แต่ละประเทศร่วมกันตั้งขึ้นมา ซึ่งเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2557 ผู้เขียนได้มีโอกาสนั่งดูฟุตบอลเยาวชนชิงถ้วยของ coke ระหว่างสุพรรณบุรีกับบุรีรัมย์ ระหว่างดูการแข่งขันระหว่างสองทีมนี้ก็รู้สึกว่าการที่จะทำให้ทีมฟุตบอลทีมหนึ่งเล่นได้ดีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การที่จะไปให้ถึงฝั่งฝันจำเป็นต้องผ่านการฝึกซ้อม การทำงานร่วมกัน ผ่านอุปสรรคมากมาย ซึ่งนักฟุตบอลแต่ละคนในทีม ก็เปรียบเหมือนกับประเทศในแต่ละประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

นอกจากนักแตะแต่ละคนจำเป็นจะต้องเตรียมพร้อมร่างกายให้แข็งแรงแล้ว นักเตะแต่ละคนก็จำเป็นที่จะต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี และถ้าหากว่านักเตะแต่ละคนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกัน มีปัญหาความขัดแย้งกัน ทะเลาะกัน อาจจะทำให้การทำงาน การประสานงานกันระหว่างนักเตะในทีมก็คงจะไม่มีประสิทธิภาพ และคงจะส่งผลเสียต่อทีมมากกว่าผลดีแน่นอน อย่างเช่นเมื่อศูนย์หน้าได้เลี้ยงลูกบอลไปใกล้ประตูของฝั่งตรงข้ามเพื่อที่จะทำคะแนน แต่กลับเก็บลูกบอลไว้เอง ไม่ยอมส่งบอลให้เพื่อนที่อยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าซึ่งสามารถทำคะแนนได้ง่ายกว่าเป็นผู้ทำคะแนน ผลสุดท้ายก็คือนักบอลคนนั้นตัดสินใจทำประตูเอง แต่ก็ไม่สามารถทำคะแนนได้ ซึ่งก็ทำให้เสียผลประโยชน์ของทีมไป ซึ่งก็เหมือนกันกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาคของเรานั่นเอง ถ้าเรายังไม่แก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นให้คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นไม่ได้ การพยายามที่จะรวมตัวกัน ไม่ว่าจะเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือองค์กรอื่นๆ ก็คงจะไม่ประสบผลสำเร็จ ก็คงจะเป็นเหมือนทีมฟุตบอลที่แพ้ในการแข่งขัน และเมื่อเราตกลงใจที่จะรวมกันเป็นทีมแล้ว ประโยชน์ส่วนตัวก็น่าจะเป็นเรื่องที่รองลงมาจากผลประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งในประเด็นสุดท้ายนี้ก็คิดว่าน่าจะยังคงเป็นไปได้ยากอยู่ที่จะทำให้แต่ละประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ละทิ้งผลประโยชน์ส่วนตัวและเห็นถึงผลประโยชน์แห่งภูมิภาคมาก่อนสิ่งอื่นใด แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้ เพียงแค่อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง และต้องมีตัวกำหนดหรือเงื่อนไขบางประการในการกำกับดูแลเพื่อให้เกิดความร่วมมือเช่นนั้นขึ้น

นอกจากจะได้ข้อคิดในเรื่องของการมองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว ผู้เขียนยังได้ข้อคิดในการมองชีวิตในแง่มุมอื่นๆเพิ่มขึ้นอีกด้วย เนื่องจากนอกจากการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วย Coke ระหว่างบุรีรัมย์และสุพรรณบุรีแล้ว ผู้เขียนยังมีโอกาสได้ดูฟุตบอลอีกหนึ่งคู่ในตอนกลางคืน คือการแข่งขันระหว่าง ลิเวอร์พูลกับอาเซนอล ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนชื่นชอบทีมสุพรรณบุรี และทีมลิเวอร์พูล แต่ผลการแข่งขันของทั้งสองทีมก็คือปรากฏว่าแพ้ทั้งคู่ โดยส่วนตัวในตอนแรกก็รู้สึกว่าผิดหวังมาก อันที่จริงพอทีมที่ชอบทีมแรกแพ้ก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่ก็ผิดหวังนิดๆ แต่พอทีมที่สองแพ้ก็เลยรู้สึกว่าการผิดหวังซ้ำๆ สองครั้งในวันเดียวเป็นอะไรที่รับไม่ไหว แต่พอนั่งนิ่งๆคิดทบทวนสักพักก็ได้ข้อคิดอะไรหลายๆอย่างจากการชมการแข่งขันฟุตบอลสองคู่นี้เหมือนกัน อันดับแรกก็คือไม่ควรตั้งความหวังกับอะไรไว้มากจนเกินไป ควรตั้งอยู่บนความพอดีและอาศัยหลักการเหตุและผลเป็นตัวช่วยในการวิเคราะห์ตัดสิน ซึ่งในข้อนี้ถึงแม้จะมีใครหลายๆคนพูดว่าจะไปคาดเดาเอาอะไรได้กับฟุตบอล ก็แค่ลูกกลมๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วเราสามารถดูโดยใช้การวิเคราะห์เข้าช่วยได้ ถ้าเราปราศจากอคติ ไม่ลำเอียงเข้าข้างทีมใดมากเกินไป เราก็จะสามารถมองเห็นความจริงแล้วก็แนวโน้มของผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นได้เช่นกัน 

นอกจากนี้ยังเข้าใจคำว่าสัจจะภาวะที่อาจารย์ชอบพูดถึงมากขึ้น ซึ่งอันที่จริงก็ไม่แน่ใจว่าเข้าใจมากน้อยแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็คิดได้ว่าไม่ควรจะไปยึดติดกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมากเกินไป ถึงแม้ทีมที่เราชอบจะแพ้แต่ก็ไม่ได้สูญเสียอะไรไปมากเท่าไหร่ อย่างน้อยในส่วนของทีมเองก็จะได้รับประสบการณ์ ได้เรียนรู้รูปแบบการเล่นแบบใหม่ ได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดซึ่งจะสามารถนำเอาไปใช้ปรับปรุงแผนการเล่นในอนาคตให้ดีขึ้นได้ ในส่วนตัวผู้เขียนเองก็ได้ฝึกการอยู่กับความทุกข์นั้นให้ได้ ไม่กระวนกระวาย แล้วก็คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องธรรมชาติ รู้สึกปล่อยวางกับอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น รู้ซึ้งถึงคำที่ว่า ถ้าถือไว้ก็มีแต่เราที่จะหนักเอง ซึ่งก็คงเอาไปใช้กับการมองภาพประวัติศาสตร์เหตุการณ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เช่นกัน ว่าการที่เราจะสามารถเข้าถึงความจริงทางประวัติศาสตร์ให้ได้นั้น เราควรจะต้องมองอย่างเป็นกลางจริงๆ แล้วก็ปราศจากอคติ ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จนทำให้เกิดอคติ 4 คือการตัดสินไปเนื่องจากความชอบ หรือความไม่ชอบส่วนตัว เพราะอย่างที่เรารู้ว่าการเขียนประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศก็ต่างยึดถือชุดความจริงที่แตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างง่ายๆและใกล้ตัวอย่างเช่นเหตุการณ์ความขัดแย้งสองฝ่ายระหว่างคนเสื้อแดงกับเสื้อเหลืองที่เกิดขึ้นในสังคมไทย แม้เหตุการณ์ที่กล่าวถึงจะเป็นเหตุการณ์เดียวกัน แต่กลับพูดกันไปคนละด้าน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับทัศนคติ มุมมอง และความเชื่อที่แต่ละฝ่ายยึดถือนั่นเอง ดังนั้นจะเห็นได้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะเข้าถึงความจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถึงแม้จะเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นก็ตาม ดังนั้นการมองให้เห็นถึงสัจจะภาวะ มากกว่าการมองไปที่ปรากฏการณ์ก็จะทำให้เราสามารถเข้าถึงความจริงได้ใกล้มากขึ้น

ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ถือเป็นปัญหาที่ควรเร่งแก้ไข ถ้าเราต้องการที่จะพัฒนาและก้าวเดินไปข้างหน้า แต่อย่างไรก็ตามนอกจากที่เราควรจะขจัดปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศให้หมดสิ้นไปแล้ว ปัญหาภายในประเทศก็เป็นสิ่งที่เร่งด่วนไม่แพ้กันที่ควรจะหาทางเยียวยาแก้ไข ยิ่งโดยเฉพาะในประเทศไทย ที่ปัจจุบันก็ประสบกับปัญหาการแบ่งแยกของผู้คนในสังคม ซึ่งสร้างรอยร้าว สร้างบาดแผลขึ้นในใจของคนในประเทศไม่น้อย ถึงแม้ปัญหาความขัดแย้งนี้จะเกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว แต่ผู้เขียนก็เชื่อว่ามีทางออกหลายๆทางที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เพราะถ้าไม่รีบแก้ไขก็คงจะเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกมากขึ้นเรื่อยๆทุกวัน ในส่วนตัวผู้เขียนแล้วอันดับแรกเลยทุกคนต้องมีความจริงใจต่อกัน มีความจริงใจต่อประเทศ ยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก มองข้ามผลประโยชน์ของตัวเองไป เพราะเราต้องยอมรับว่าปัญหามากมายที่เกิดขึ้นมาก็เกิดมาจากการที่คนในสังคมมองเห็นผลประโยชน์ของตัวเองสำคัญกว่าส่วนรวม ซึ่งในส่วนนี้ดูเหมือนจะเป็นความคิดที่เป็นนามธรรมแต่อันที่จริงแล้วเราสามารถทำให้เป็นรูปธรรมได้ แค่ต้องไม่ยึดติดแค่นั้นเอง เราเกิดมาเราก็เกิดมาตัวเปล่า ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ ดังนั้นเรื่องของวัตถุน่าจะเป็นเรื่องที่รองมาจากเรื่องของคุณค่าด้านจิตใจ

เมื่อทุกคนยึดถือผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลักแล้ว อันดับต่อมาก็คือการเปิดใจ ใจกว้างยอมรับในความแตกต่าง หลากหลาย การมองคนที่อยู่ประเทศไทยว่าเป็นคนที่อยู่ในประเทศไทย ไม่มีพวกเขา พวกเรา ไม่ต้องแบ่งว่า ไทยพุทธ ไทยมุสลิม ไทยเหลือง ไทยแดง ไทยกลาง แต่ทุกคนก็คือคนเหมือนกัน คนที่อยู่ในประเทศที่เรียกว่าประเทศไทยเหมือนกัน มีความคิด มีทัศนคติเป็นของตัวเอง และต้องไม่คิดว่าของเราดีกว่าของเขา ของคนอื่นที่ไม่เหมือนเราด้อยกว่าหรือผิด เพราะองค์ประกอบของชีวิตของทุกคนก็แตกต่างกันจึงทำให้มีมุมมองในการมองที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว 

นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือการไม่รับข่าวสารแค่เพียงด้านเดียว เพราะหลายครั้งผู้คนต่างตัดสินคนอื่นด้วยความอคติ มองแค่ด้านดีด้านเดียว หรือด้านไม่ดีด้านเดียว ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การแบ่งพวกเขาพวกเราอย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว ในประเด็นนี้ผู้เขียนได้มีประสบการณ์ตรง เนื่องจากคุณแม่เป็นคนที่ชอบรับข่าวสารทางช่อง Blue sky เป็นอย่างมาก เปิดทุกวันเมื่อกลับถึงบ้าน โดยในส่วนตัวของผู้เขียนคิดว่าเห็นพัฒนาการของคุณแม่ตัวเอง ที่เริ่มมีอารมณ์ร่วมกับมวลมหาประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ จากที่ตอนแรกแทบจะไม่สนใจเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น แต่ในปัจจุบันรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับมวลมหาประชาชนแทบจะทุกเรื่อง แต่เป็นการรับรู้ข่าวสารแต่เพียงด้านเดียว และความรู้สึกที่คิดว่าพวกเขาพวกเราก็มีมากขึ้นตามลำดับ เพราะฉะนั้นการรับข่าวสารแต่เพียงด้านเดียวก็เป็นสาเหตุสำคัญในการก่อให้เกิดความรู้สึกแบ่งฝั่งแบ่งฝ่ายขึ้น เพราะฉะนั้นการรับข่าวสารจากหลายๆด้านก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน ที่จะสามารถลดอคติและความขัดแย้งได้

อย่างไรก็ตามวิธีการแก้ไขปัญหาที่ผู้เขียนได้เสนอไปนี้ก็ล้วนเป็นส่วนเล็กๆที่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์ในการช่วยลดบรรเทาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้ อย่างน้อยก็เริ่มที่ตัวเราก่อน นอกจากนี้ก็ยังมีวิธีการต่างๆอีกมากมายที่มีนักวิชาการหลายๆคนต่างออกมาเสนอเพื่อช่วยให้ประเทศไทยก้าวเดินหน้าข้ามพ้นปัญหาต่างๆไปได้ อย่างไรก็ดีสิ่งที่ต้องการจะเสนอก็คือ เราควรที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในประเทศของเราเสียก่อน ก่อนที่จะหวังไกล ถึงการรวมเป็นประชาคมอาเซียน เพราะอย่างที่กล่าวไปว่าถ้าหน่วยเล็กๆในหน่วยใหญ่ไม่แข็งแรงแล้วก็คงยากที่หน่วยใหญ่จะมีความมั่นคงแข็งแรงได้ แทนที่จะช่วยพากันเดินไปข้างหน้าอย่างภาคภูมิ อาจจะพากันฉุดดึงถอยหลังก็เป็นไปได้

อย่างไรก็ดีการที่จะทำให้ประเทศไทย เป็นสังคมที่น่าอยู่ เราก็ควรเริ่มจากตัวเองก่อน เริ่มจากการพัฒนาตัวเอง มองหาสิ่งที่คิดว่าเรายังบกพร่องและหาทางปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้เรากลายเป็นบุคคลที่ดีขึ้น อย่างน้อยก็จะได้ไม่เป็นภาระของผู้อื่น รู้จักสิทธิและหน้าที่ของตนเอง ไม่ก้าวก่าย ทำความเดือดร้อนและเคารพสิทธิของผู้อื่น เมื่อทุกคนทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดสังคมก็คงจะพัฒนาไปได้โดยง่าย และเชื่อว่าปัญหาต่างๆในสังคมคงจะลดน้อยลงจนอาจจะไม่เหลืออยู่อีก และสังคมของเราก็คงจะกลายเป็นสังคมที่มีความสุข และน่าอยู่มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้มาก

สุดท้ายนี้ก็อยากจะเสนอเรื่องคุณสมบัติของสังคมที่น่าอยู่อีกประการหนึ่งก็คือ การเป็นสังคมที่ไม่มีชนชั้น และมีศาลที่ตัดสินอย่างเป็นธรรม ซึ่งเราจะเห็นได้ในสังคมหลายๆสังคมว่ามีการแบ่งชนชั้นกันอย่างชัดเจน คนที่อยู่ด้านบนสุดมักจะกดขี่ข่มแหงคนที่อยู่ด้านล่าง และเมื่อคนที่อยู่ด้านล่างทนไม่ได้ ในที่สุดก็เกิดการปะทุ ระเบิดออกมา กลายเป็นว่าเกิดความขัดแย้งขึ้นอีกในสังคม นอกจากนี้การที่ศาลที่ทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินความยุติธรรม ขาดและไร้ซึ่งความยุติธรรม ตัดสินโดยการบิดเบือนความจริง ย่อมเป็นสิ่งที่สามารถสะท้อนความไร้อารยธรรมของสังคมนั้นได้อย่างชัดเจนว่าย่อมเป็นสังคมที่มีความเจริญทางด้านจิตใจของผู้คนต่ำ ดังนั้นสังคมที่ดีควรปราศจากสิ่งเหล่านี้ และเพื่อให้เห็นภาพความโหดร้ายของสังคมเช่นนี้ ผู้เขียนขอนำเสนอเพลงของ Capital Cities ชื่อเพลง Kangaroo Court ที่นอกจากจะให้ความบันเทิงแล้ง ยังได้สะท้อนภาพความอยุติธรรมของสังคมเช่นนี้ไว้ในเนื้อเพลง และใน Music Video ได้อย่างชัดเจน



โดยใน MV (Music Video) เพลงนี้เริ่มต้นโดยการที่มีตัวละครม้าลาย ต้องการที่จะเข้าไปใน Kangaroo Court ซึ่งน่าจะเป็นสถานที่ที่คนชั้นสูงเข้าไปกัน แต่เมื่อพอมาถึงคนคุมประตูก็ไม่ให้เข้าและชี้ให้ดูป้ายที่เขียนว่าห้ามม้าลายเข้า ม้าลายจึงกลับบ้านไปด้วยความผิดหวัง และได้แต่นั่งเปิดดูโทรทัศน์ ช่องที่เปิดไปก็พบแต่ช่องสารคดี ที่นำเสนอภาพที่ม้าลายกลายเป็นเหยื่อให้กับเสือหรือสิงโต ม้าลายจึงนำเอาสีมาย้อมใบหน้าของตัวเองให้เหมือนม้าและกลับไปที่ Kangaroo Court อีกครั้ง ครั้งนี้ผู้คุมประตูยอมให้ม้าลายเข้าไป เมื่อเข้าไปข้างในก็ปรากฏว่ามีสัตว์หลากหลายชนิดสังสรรค์กันอยู่ในนั้น แต่สุดท้ายแล้วก็มีคนจับได้ว่าม้าลายปลอมตัวมา สุดท้ายจึงถูกจับส่งขึ้นศาล ศาลก็ตัดสินว่าม้าลายมีความผิด สุดท้ายม้าลายจึงโดนนำตัวไปฆ่า MV นี้จบด้วยการที่ มีสิงโตตัวหนึ่งอยู่ในภัตตาคารสุดหรู รอรับประทานอาหารอยู่ ซึ่งเมื่อเปิดจานอาหารออกมาก็ปรากฏว่าเป็นเนื้อม้าลายนั่นเอง ซึ่งในเนื้อหาของ MV เพลงนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำของชนชั้นตั้งแต่เริ่มเพลงขึ้นมา การที่เลือกใช้ม้าลายเป็นสื่อก็น่าจะสื่อให้เห็นถึงความอ่อนแอ เป็นตัวแทนของการตกเป็นเบี้ยล่าง ถ้าเปรียบเทียบเป็นชนชั้น ม้าลายตัวนี้ก็คงจะอยู่ในชนชั้นที่ต่ำที่สุด สะท้อนให้เห็นความจริงของสังคมที่ว่า ความไม่เท่าเทียมกันและความเหลื่อมล้ำนั้นยังคงมีอยู่ และเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่คนในสังคมจะทำให้กันได้ และถึงแม้ม้าลายจะพยายามย้อมสีตัวเองให้กลายเป็นม้า แต่สุดท้ายเมื่อโดนจับได้ ก็ไม่ได้รับโอกาสจากสังคมอยู่ดี ซึ่งเป็นสังคมชั้นสูงนั่นเอง ซึ่งก็อาจจะเปรียบได้กับการที่คนชนชั้นสูงส่วนมากมักจะเก็บอำนาจเก็บความมั่งคั่งไว้กับตัวเองหรือพวกตัวเองเท่านั้น ไม่ยอมแบ่ง หรือกระจายความมั่งคั่งไปสู่คนชนชั้นอื่นเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันแต่อย่างใด และภาพสุดท้ายของ MV ที่สิงโตได้กินเนื้อม้าลายแล้วทำหน้าพึงพอใจเป็นอย่างมาก ก็สะท้อนว่าคนที่รวยหรือมั่งคั่งส่วนใหญ่มักจะทำผลประโยชน์อยู่บนความทุกข์ของคนอื่น ซึ่งคงจะไม่ใช่คนรวยหรือชนชั้นสูงทุกคนที่จะเป็นเช่นนี้ แต่ผู้จัดทำ MV เพลงนี้ก็คงอยากจะนำเสนอภาพความโหดร้ายของสถานการณ์เช่นนี้ ที่ยังมีอยู่จริงในสังคมปัจจุบัน โดยส่วนตัวผู้เขียนชอบเพลงนี้เพราะคิดว่าสะท้อนให้เราเห็นอะไรได้หลายๆอย่าง ทั้งความไม่เท่าเทียมกัน ความโหดร้ายที่มีอยู่ในสังคม แต่การที่เราดูก็ไม่ใช่เพื่อที่จะตอกย้ำความเหลื่อมล้ำความไม่เท่าเทียมแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ก็เพื่อเปิดโลกทัศน์ และสร้างวิสัยทัศน์ใหม่ๆให้เกิดขึ้น เพื่อที่จะได้เรียนรู้ และนำข้อคิดต่างๆที่ได้ทั้งจากการดู MV เพลงนี้ การทำงาน นำมาช่วยวางแผน หรือกำหนดแนวทางในการใช้ชีวิต เพื่อที่จะสามารถก้าวเดินไปในอนาคตให้ได้อย่างมั่นคงและหนักแน่น