วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559

วัยรุ่นมันเหนื่อย!!

ช่วงวัยรุ่นถึงวัยทำงานตอนต้นเป็นช่วงวัยที่แบบโคตรพีค!!!เลยอ่ะ

เรามักจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า "เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อย!!!"อยู่บ่อยๆ

แต่ความจริงแล้วเป็นวัยทำงานนั้น "แม่งงง โคตรเหนื่อยยยย"เลยค่ะ

แต่เอาตามจริงป้ะ ดูไปดูมามันก็เหนื่อยทุกช่วงนั่นล่ะถ้าคิดว่ามันเหนื่อย

งั้นจริงๆแล้วเราก็ควรจะสนุกกับการใช้ชีวิตดีกว่าเนอะ

เหนื่อยก็เหนื่อยเส้!! มา!! จะพุ่งชนให้หมดเลยยย!! (ออกแนวบ้าคลั่ง ==)




ตัวฉัน... ในเช้าที่ดูมึนๆ ในออฟฟิศที่เปล่าเปลี่ยวและเสียวต้นคอซะเหลือเกิน !!

4 เมษายน 2559


HISTORY OF SOUTHEAST ASIA FROM THE 19TH CENTURY TO THE PRESENT



 บทความต่อไปนี้ เป็นส่วนหนึ่งของวิชาประวัติศาสตร์ ผู้เขียนเขียนด้วยความรู้และประสบการณ์ชีวิต ณ ช่วงเวลานั้น มีความมึนงง สับสน ในการเขียนอยู่ไม่น้อย >//< ฮ่าๆๆ ประเด็นอาจจะไม่ค่อยเป็นประเด็นเท่าไหร่ จุดประสงค์ตอนนั้นน่าจะเป็นการพยายามบูรณาการความรู้ต่างๆให้เชื่อมโยงสอดคล้องกับเรื่องที่เรียน งานเขียนจึงออกมาคล้ายๆขนมลอดช่องที่ใส่ทั้งสลิ่ม และทับทิมกรอบ ถึงออกจะแปลกๆสักหน่อย แต่ก็พอกินได้ 

พอได้กลับไปอ่านงานเก่าๆ รู้สึกเหมือนได้กลับไปอ่านไดอารี่ของตัวเอง มีความรู้สึกยังไงไม่รู้ 5555 บางขณะก็รู้สึกว่าเราช่างตื้นเขินยิ่งนัก ทำไมคิดอะไรเด็กจังเลย แต่ในบางขณะก็รู้สึกว่า เอ๊ะะ เราคิดแบบนั้นได้ยังไง ลืมความรู้สึกหลายๆอย่างไปแล้ว  แต่ความรู้สึกโดยรวมอยู่ในโซนบวกนะ :) 

ตัวฉัน... วันนี้ที่อากาศร้อนมากกว่าเมื่อวาน 
3 เมษายน 2559 




HISTORY OF SOUTHEAST ASIA FROM THE 19TH CENTURY TO THE PRESENT
ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้คริสต์ศตวรรษที่ 19 จนถึงปัจจุบัน



เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่มีความสำคัญมากอีกแห่งหนึ่งของโลก นับว่าเป็นแหล่งที่มีทรัพยากรธรรมชาติอยู่มากมาย จึงถือเป็นพื้นที่ที่เหล่าประเทศมหาอำนาจต่างต้องการครอบครองและพยายามช่วงชิงไปจากคนพื้นเมืองมาตั้งแต่อดีต ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ดูสวยหรูอย่างการเข้าเพื่อต้องการนำความเจริญ นำอารายธรรมมาสู่ภูมิภาคแห่งนี้ หรืออ้างว่าต้องการเข้ามาเผยแผ่ศาสนา โดยกล่าวว่าเป็นภารกิจของคนผิวขาว ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ก็มองได้เพียงอย่างเดียวว่าประเทศมหาอำนาจเหล่านั้นเข้ามาในภูมิภาคแห่งนี้ก็เพื่อความมั่งคั่ง เพื่อผลประโยชน์ทั้งสิ้น เพราะการที่ได้มีอำนาจเหนือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เหมือนกับว่าได้ครอบครองแหล่งทรัพย์มหาศาลของโลกนั่นเอง 

จนแม้กระทั่งปัจจุบันในยุคโลกาภิวัฒน์ ถึงแม้จะไม่ได้มีการเข้ายึดครองหรือครอบครองประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยตรงหรือเห็นได้ชัดเจนเหมือนในยุคล่าอาณานิคมแล้วก็ตาม แต่เมื่อเราพิจารณาให้ดี การเข้ามามีอิทธิพลของชาติมหาอำนาจในภูมิภาคนี้ในปัจจุบัน กลับเข้ามาในรูปแบบที่น่ากลัวกว่าเดิมมาก เพราะเข้ามาแบบไม่ให้ผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ทันรู้ตัว ฝังรากลึกจนถึงกระทั่งแม้รู้ตัวก็ยากเกินกว่าจะถอนตัวออกได้ทัน การเข้ามาในรูปแบบใหม่นี้เข้ามามีอิทธิพลกับชีวิตของผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นอย่างมาก เป็นการเข้ามาในรูปแบบของการค่อยๆแทรกซึม ซึมลึก ฝังแน่น โดยเฉพาะอิทธิพลทางวัฒนธรรมและความคิด และยิ่งในยุคโลกาภิวัฒน์ที่ทุกๆอย่างดูจะเคลื่อนตัวไปได้อย่างรวดเร็ว ทั่วโลกสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้เพียงแค่กดปุ่ม จึงถือเป็นยุคไร้พรมแดนอย่างแท้จริง และนั่นทำให้ประเทศมหาอำนาจสามารถป้อน หรือครอบงำทางความคิดของผู้คนได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะผู้คนในประเทศกำลังพัฒนา 

ในหลายๆครั้งเราเห็นถึงการครอบงำทางความคิด โดยวิธีที่ง่ายและดูจะลงทุนน้อย และมีการสูญเสียน้อยกว่าการใช้กำลังทหารเข้ายึดครอง(ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็คงแทบจะไม่มีใครทำกันแล้ว) คือการใช้สื่อ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ โฆษณา เพลง หรือการปลูกฝังค่านิยมบางประการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราสามารถเห็นได้ชัดเจนในปัจจุบัน เรามักจะมีค่านิยมบางประการที่ถูกป้อนเข้าหัวสมองตั้งแต่ที่เรายังไม่ทันรู้ประสีประสา ดังนั้นจะขอยกตัวอย่างง่ายๆซึ่งใกล้ตัว(ผู้เขียน)มาก ก็คือค่านิยมของการที่ผู้หญิงไทยต้องมีผิวขาว ซึ่งดูจะเป็นแนวคิดหรือความเชื่อที่ขัดกับพันธุกรรมของเราเป็นอย่างมาก แต่เราก็มีความเชื่อ ความคิดเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก ถ้าผู้หญิงคนไหนผิวคล้ำถือว่าผิดมาก ถือว่าเป็นคนที่ดูด้อยกว่าคนที่มีผิวขาว ซึ่งความคิดเหล่านี้ฝังรากลึกมานานจนยากที่จะขจัดออกไปได้โดยง่าย เราถูกซึมซับมาตั้งแต่เด็ก ทั้งจากภาพยนตร์หรือละครซึ่งน้อยครั้งมากที่นางเอกจะผิวคล้ำ ถึงแม้ผิวคล้ำในตอนแรก แต่สุดท้ายก็จะกลายเป็นผิวขาวอยู่ดีเนื่องจากนางเอกต้องปลอมตัวเป็นคนใช้เข้าไปในบ้านพระเอก เพราะฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่าการที่มีผิวคล้ำได้ถูกนำเอามาแทนความต่ำ(ชนชั้น) ความด้อย ความไม่เจริญ หลังจากเรามีชุดความคิดนี้ในขั้นแรกแล้ว เราก็จะมีความคิดชุดใหม่เกิดขึ้นตามมา คือการต้องการให้ผิวของเราเป็นผิวขาว เมื่อคิดได้ดังนั้นเราก็จำเป็นที่จะต้องสรรหาวิธีการต่างๆที่จะทำให้เราผิวขาวขึ้น โดยวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือไปซื้อ ครีมทาผิว Whitening ที่สามารถทำให้สีผิวของเราขาวขึ้นได้ ซึ่งครีมทาผิวเหล่านี้ก็มีขายอยู่ทั่วไปในท้องตลาด มีตั้งแต่สิบกว่าบาทจนถึงราคาเป็นพันเป็นหมื่น ซึ่งถ้าเราจะสังเกตหรือฉุกคิดสักนิด เราจะเห็นได้ว่าผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เร่งผิวขาวเหล่านั้นล้วนมีผู้ผลิตเป็นชาวต่างชาติทั้งสิ้น ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าเป็นการง่ายของประเทศมหาอำนาจที่จะเข้ามามีอิทธิพล และสูบเอาผลประโยชน์จากเรา แต่เราก็ไม่สามารถไปโทษ หรือโยนว่าเป็นความผิดของประเทศเหล่านั้นได้ เพราะสาเหตุที่แท้จริงนั้นก็มาจากตัวเราเองที่ไม่รู้จักพอ เมื่อเกิดความโลภขึ้นมา สติสัมปชัญญะที่ควรจะมีอยู่ก็ถูกบดบังไปได้อย่างง่ายดาย และเมื่อเราขาดสติรู้ตัว ก็คงไม่ยากที่จะตกเป็นเหยื่อของคนฉลาด โดยเฉพาะคนที่วางแผนและทำให้เราเดินลงไปยังกับดักนั้นได้อย่างแยบยล เหมือนนายพรานที่สร้างกับดักเพื่อใช้ดักเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย

นอกจากคติความเชื่อเรื่องผิวขาวแล้ว ผู้เขียนยังอยากจะขอเสนอค่านิยมอีกเรื่องซึ่งผู้เขียนคิดว่าเป็นค่านิยมที่กำลังแพร่หลายในปัจจุบันและเห็นได้ทั่วไป ค่านิยมนั้นก็คือค่านิยมการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อ iphone ซึ่งค่านิยมนี้เป็นค่านิยมที่เชื่อว่าคนที่ใช้โทรศัพท์ยี่ห้อนี้เป็นคนที่มีฐานะ ซึ่งก็อาจจะมีส่วนจริงเนื่องจากราคาของเครื่องก็มีราคาสูงอยู่พอสมควร แต่จากการที่มีวิธีการที่จะซื้อหลายวิธี อย่างเช่นการผ่อนจ่าย ทำให้ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคนที่มีเงินมากเท่านั้นที่จะซื้อได้ คนที่มีฐานะปานกลางก็พอจะซื้อได้เช่นกัน ทำให้ผู้คนทั่วไปอยากจะได้มาเป็นเจ้าของ โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนมีเพื่อนหลากหลายแบบ ทำให้เห็นว่าในหลายๆครั้ง เพื่อนของผู้เขียนหลายคนถึงแม้ที่บ้านจะมีฐานะไม่มากนัก แต่ก็ขอเงินพ่อแม่ไปซื้อโทรศัพท์เพียงเพื่อที่จะต้องการให้เข้ากับค่านิยมที่กำลังเป็นไปในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและผลประโยชน์ที่จะได้รับเป็นเรื่องที่รองลงมา(หรือแทบจะหลังสุด) ซึ่งสิ่งนี้คงจะเป็นผลของค่านิยมที่เราต่างถูกฝังมา อาจจะจากโฆษณา เพราะธีมของโฆษณาเองก็จะดูเรียบหรู มีสไตล์ หรือการที่ใช้เหล่าคนรวย คนดังเป็นพรีเซนเตอร์ หรือเป็นผู้สนับสนุนในละครหลายๆเรื่อง ทำให้เวลาเราดูละครหรือดูหนังก็จะเห็นจนเป็นเรื่องปกติว่าตัวละครในละครก็ใช้ iphone จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่วัยรุ่นโดยทั่วไปจะถูกปลูกฝังค่านิยมเช่นนี้มา ถึงแม้ตัวผู้เขียนจะเห็นด้วยกับทฤษฎีที่กล่าวว่ามนุษย์ไม่สามารถอยู่ตัวคนเดียวได้ ดังนั้นมนุษย์ทุกคนจึงต้องการมีตัวตน มียืนในสังคม แต่การที่จะต้องซื้อโทรศัพท์ราคาแพงเพียงเพื่อที่จะสามารถมีหน้ามีตา และเข้าไปยืนอยู่ในสังคมได้ก็ดูจะเป็นความคิดที่ได้ไม่คุ้มเสีย แล้วเมื่อลองคิดดูว่าสังคมที่เราจะเข้าไปอยู่หลังจากทำตามค่านิยมบางอย่างโดยไม่คิดแล้ว คงจะไม่ใช่สังคมที่น่าอภิรมย์เท่าใดนัก

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนไม่ได้ปฏิเสธว่าการรับเอาวัฒนธรรมของต่างชาติเข้ามาเป็นเรื่องที่ผิดหรือไม่ดี แต่ในปัจจุบัน หลายๆครั้งนั้นเรารับเอามาโดยไม่ทันได้คิดไตร่ตรองให้ดี ถ้าเราจะรับก็ขอให้รับโดยรู้ตัวและให้ถือว่าได้เลือกสรรอย่างดีที่สุดและเหมาะสมกับตัวเราเองแล้ว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวเอง แต่ถ้าเราแค่เพียงรับเอาวัฒนธรรมต่างๆหรือทำตามกระแสนิยมโดยคิดเอาเองว่าเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่เขาทำกัน เราอาจจะไม่ได้รับประโยชน์อันแท้จริงซึ่งซ่อนอยู่ในวัฒนธรรมเหล่านั้นเลย ซึ่งการรับเอาวัฒนธรรมของต่างชาติเข้าก็มาเป็นเรื่องปกติ และเราก็เห็นได้จากรากฐานวัฒนธรรมของเราเองซึ่งมีมายาวนาน

เนื่องจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งอยู่ระหว่างขั้ววัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่สองวัฒนธรรม ซึ่งก็คือวัฒนธรรมของจีน กับวัฒนธรรมอินเดีย ทำให้คงจะเป็นการยากที่จะต้านทานกระแสวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ของสองขั้วมหาอำนาจนี้ได้ เราจึงได้รับรับเอาวัฒนธรรมของทั้งสองวัฒนธรรมนี้มาปรับใช้ในวิถีชีวิตของเรา แต่การรับเอาวัฒนธรรมทั้งสองวัฒนธรรมในอดีตนั้น ผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รู้จักรับ เรารับอย่างฉลาด และปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมดั้งเดิมที่มีอยู่แล้ว อย่างที่เราทราบกันดีว่าการนับถือผีเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของคนในภูมิภาคนี้เนื่องมาจากการใช้ชีวิตที่ต้องพึ่งพิงธรรมชาติ ดังนั้นเราจึงเคารพบูชา จ้าวป่า จ้าวเขา หรือผีบรรพบุรุษ เพื่ออย่างน้อยก็ทำให้เราใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติได้อย่างราบรื่น ไม่หวาดกลัวจนเกินไป แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเรารับเอาศาสนาพุทธจากอินเดีย หรือลัทธิความเชื่อต่างๆจากจีน เราก็ไม่ได้ละทิ้งความเชื่อดั้งเดิมของเราเอง แต่กลับมีการปรับใช้ ประยุกต์ให้เข้ากับความเชื่อเดิมของเรา หรือในบางครั้งก็นำมาใช้ส่งเสริมความเชื่อเดิม อย่างที่เราเห็นได้ในปัจจุบันที่เรายังมีการเคารพนับถือผี นับถือธรรมชาติ อย่างพระแม่คงคา พระแม่ธรณีอยู่  

นอกจากนี้ผู้เขียนยังเคยมีโอกาสได้ไปลงพื้นที่สัมภาษณ์ชาวบ้านในตลาดศรีประจันต์ ซึ่งเป็นชุมชนการค้าแห่งหนึ่งในจังหวัดสุพรรณบุรี และได้ไปสัมภาษณ์คุณยายท่านหนึ่งซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายจีน คุณยายเล่าว่าถึงแม้คุณยายจะถูกสั่งสอนและเติบโตโดยคุณพ่อที่เป็นคนจีนแท้ แต่คุณยายก็ตักบาตรตอนเช้าทุกเช้า และคุณยายก็ไม่เคยละเลยวัฒนธรรมอันดีงามของคนไทย ซึ่งสิ่งนี้ในส่วนตัวผู้เขียนเองคิดว่ามันก็เป็นส่วนหนึ่งที่สามารถสะท้อนให้เห็นว่าผู้คนในภูมิภาคนี้รู้จักปรับตัว รู้จักนำเอาสิ่งใหม่มาประยุกต์ใช้โดยไม่ละเลยสิ่งเก่า ซึ่งแตกต่างจากในปัจจุบัน ที่วัยรุ่น โดยเฉพาะวัยรุ่นไทยที่เปิดรับเอาวัฒนธรรมภายนอกอย่างมาก แต่ไม่ได้รู้จักปรับใช้อย่างเช่นเหล่าบรรพบุรุษของเรา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะบางครั้งเรารับวัฒนธรรมภายนอกมากซะจนกระทั่งหลงลืมไปแล้วว่ารากเหง้า รากฐานที่แท้จริงของเราคืออะไร

ปัญหาเรื่องของการรับวัฒนธรรมจากภายนอกโดยไม่เลือกคัดสรรให้เหมาะสม ก็ดูจะเป็นปัญหาที่น่าเป็นห่วงในภูมิภาคแห่งนี้เพราะสุ่มเสี่ยงต่อการที่อัตลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นจะสูญหายไปได้โดยง่าย แต่ปัญหาจากภายนอกก็ดูจะน่าเป็นห่วงน้อยกว่าปัญหาที่มาจากภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เอง ดังนั้นอีกหนึ่งปัญหาที่ดูจะน่าเป็นห่วงไม่แพ้กันก็คือปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นปัญหาที่เราพบเห็น และเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานตั้งแต่ในอดีต อย่างเช่นดินแดนในบริเวณภาคพื้นทวีปก็จะมีปัญหากันระหว่างดินแดนในเรื่องการแย่งชิงผู้คน เนื่องจากบริเวณภาคพื้นทวีปนั้นมีทรัพยากรอยู่มาก แต่ขาดกำลังคนที่จะใช้ก่อบ้าน สร้างเมือง หลายครั้งดินแดนใกล้เคียงกันซึ่งไม่ได้มีเส้นเขตแดนที่แน่นอนจึงทำการรบกันเพื่อแย่งชิงดินแดนและทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งต่างจากบริเวณกลุ่มเกาะที่มีพื้นที่และทรัพยากรจำกัด การทำสงครามกันในหลายๆครั้งก็เป็นเพื่อการแย่งชิงพื้นที่และทรัพยากรในการดำรงชีวิต

อย่างไรก็ตามถึงแม้ภายหลังยุคล่าอาณานิคม จะเกิดประเทศ และมีเส้นเขตแดนของแต่ละประเทศที่แน่นอนแล้วก็ตาม แต่ปัญหาเรื่องของเขตแดนก็ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน อย่างกรณีที่ใกล้ตัวเราก็คือกรณีพิพาทระหว่างไทยกับเขมรในเรื่องการแย่งชิงพื้นที่บริเวณเขาพระวิหาร ซึ่งปัญหานี้ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้วและก็ยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่ในปัจจุบัน  หรือไม่ว่าจะเป็นประเด็นการทะเลาะกันเรื่องของรัฐซา-บาห์ระหว่างมาเลเซียกับฟิลิปปินส์ที่บั่นทอนความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศ  นอกจากนี้ยังมีกรณีปัญหาข้อพิพาทเปดราบรังการะหว่างมาเลเซียกับสิงคโปร์ที่ต่างก็อ้างสิทธิของตัวเองเหนือพื้นที่ขนาดเล็กในทะเลจีนใต้ นอกจากตัวอย่างที่กล่าวมานี้ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศในอีกหลายๆกรณีด้วยกัน ซึ่งส่วนใหญ่สาเหตุหลักๆก็น่าจะมาจากการขัดผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน เพราะแต่ละประเทศในภูมิภาคแห่งนี้มักถือเอาประโยชน์ของประเทศตัวเองเป็นเรื่องสูงสุดที่ควรทำ ซึ่งในหลายครั้งผลประโยชน์เหล่านั้นก็ไปขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ดีปัญหาความขัดแย้งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นบ่อนทำลายความเจริญรุ่งเรืองที่หลายฝ่ายต่างก็หวังจะให้เกิดขึ้นในภูมิภาคแห่งนี้ เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือการรีบเร่งหาจุดร่วมหรือแนวทางแก้ไขที่จะทำให้ทุกฝ่ายเกิดความพึงพอใจ ซึ่งเราก็จะเห็นได้ว่ามีการพยายามการสร้างองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งก็ล้วนมีจุดมุ่งหมายที่จะช่วยขจัดและบรรเทาปัญหาความขัดแย้งต่างๆที่เกิดขึ้นภายในภูมิภาคแห่งนี้ ส่วนในเรื่องที่ว่าจะได้ผลดีจริงหรือไม่ ก็คงจะขึ้นอยู่กับความจริงจังและจริงใจของแต่ละประเทศในภูมิภาคแห่งนี้เอง

ซึ่งในประเด็นนี้ผู้เขียนก็มองเห็นภาพความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบันว่าคล้ายคลึงกับการแข่งขันฟุตบอลของทีมทีมหนึ่ง และสามารถเปรียบได้ว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็คือทีมฟุตบอลหนึ่งทีมที่แต่ละประเทศร่วมกันตั้งขึ้นมา ซึ่งเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2557 ผู้เขียนได้มีโอกาสนั่งดูฟุตบอลเยาวชนชิงถ้วยของ coke ระหว่างสุพรรณบุรีกับบุรีรัมย์ ระหว่างดูการแข่งขันระหว่างสองทีมนี้ก็รู้สึกว่าการที่จะทำให้ทีมฟุตบอลทีมหนึ่งเล่นได้ดีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การที่จะไปให้ถึงฝั่งฝันจำเป็นต้องผ่านการฝึกซ้อม การทำงานร่วมกัน ผ่านอุปสรรคมากมาย ซึ่งนักฟุตบอลแต่ละคนในทีม ก็เปรียบเหมือนกับประเทศในแต่ละประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

นอกจากนักแตะแต่ละคนจำเป็นจะต้องเตรียมพร้อมร่างกายให้แข็งแรงแล้ว นักเตะแต่ละคนก็จำเป็นที่จะต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี และถ้าหากว่านักเตะแต่ละคนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกัน มีปัญหาความขัดแย้งกัน ทะเลาะกัน อาจจะทำให้การทำงาน การประสานงานกันระหว่างนักเตะในทีมก็คงจะไม่มีประสิทธิภาพ และคงจะส่งผลเสียต่อทีมมากกว่าผลดีแน่นอน อย่างเช่นเมื่อศูนย์หน้าได้เลี้ยงลูกบอลไปใกล้ประตูของฝั่งตรงข้ามเพื่อที่จะทำคะแนน แต่กลับเก็บลูกบอลไว้เอง ไม่ยอมส่งบอลให้เพื่อนที่อยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าซึ่งสามารถทำคะแนนได้ง่ายกว่าเป็นผู้ทำคะแนน ผลสุดท้ายก็คือนักบอลคนนั้นตัดสินใจทำประตูเอง แต่ก็ไม่สามารถทำคะแนนได้ ซึ่งก็ทำให้เสียผลประโยชน์ของทีมไป ซึ่งก็เหมือนกันกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาคของเรานั่นเอง ถ้าเรายังไม่แก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นให้คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นไม่ได้ การพยายามที่จะรวมตัวกัน ไม่ว่าจะเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือองค์กรอื่นๆ ก็คงจะไม่ประสบผลสำเร็จ ก็คงจะเป็นเหมือนทีมฟุตบอลที่แพ้ในการแข่งขัน และเมื่อเราตกลงใจที่จะรวมกันเป็นทีมแล้ว ประโยชน์ส่วนตัวก็น่าจะเป็นเรื่องที่รองลงมาจากผลประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งในประเด็นสุดท้ายนี้ก็คิดว่าน่าจะยังคงเป็นไปได้ยากอยู่ที่จะทำให้แต่ละประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ละทิ้งผลประโยชน์ส่วนตัวและเห็นถึงผลประโยชน์แห่งภูมิภาคมาก่อนสิ่งอื่นใด แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้ เพียงแค่อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง และต้องมีตัวกำหนดหรือเงื่อนไขบางประการในการกำกับดูแลเพื่อให้เกิดความร่วมมือเช่นนั้นขึ้น

นอกจากจะได้ข้อคิดในเรื่องของการมองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว ผู้เขียนยังได้ข้อคิดในการมองชีวิตในแง่มุมอื่นๆเพิ่มขึ้นอีกด้วย เนื่องจากนอกจากการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วย Coke ระหว่างบุรีรัมย์และสุพรรณบุรีแล้ว ผู้เขียนยังมีโอกาสได้ดูฟุตบอลอีกหนึ่งคู่ในตอนกลางคืน คือการแข่งขันระหว่าง ลิเวอร์พูลกับอาเซนอล ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนชื่นชอบทีมสุพรรณบุรี และทีมลิเวอร์พูล แต่ผลการแข่งขันของทั้งสองทีมก็คือปรากฏว่าแพ้ทั้งคู่ โดยส่วนตัวในตอนแรกก็รู้สึกว่าผิดหวังมาก อันที่จริงพอทีมที่ชอบทีมแรกแพ้ก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่ก็ผิดหวังนิดๆ แต่พอทีมที่สองแพ้ก็เลยรู้สึกว่าการผิดหวังซ้ำๆ สองครั้งในวันเดียวเป็นอะไรที่รับไม่ไหว แต่พอนั่งนิ่งๆคิดทบทวนสักพักก็ได้ข้อคิดอะไรหลายๆอย่างจากการชมการแข่งขันฟุตบอลสองคู่นี้เหมือนกัน อันดับแรกก็คือไม่ควรตั้งความหวังกับอะไรไว้มากจนเกินไป ควรตั้งอยู่บนความพอดีและอาศัยหลักการเหตุและผลเป็นตัวช่วยในการวิเคราะห์ตัดสิน ซึ่งในข้อนี้ถึงแม้จะมีใครหลายๆคนพูดว่าจะไปคาดเดาเอาอะไรได้กับฟุตบอล ก็แค่ลูกกลมๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วเราสามารถดูโดยใช้การวิเคราะห์เข้าช่วยได้ ถ้าเราปราศจากอคติ ไม่ลำเอียงเข้าข้างทีมใดมากเกินไป เราก็จะสามารถมองเห็นความจริงแล้วก็แนวโน้มของผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นได้เช่นกัน 

นอกจากนี้ยังเข้าใจคำว่าสัจจะภาวะที่อาจารย์ชอบพูดถึงมากขึ้น ซึ่งอันที่จริงก็ไม่แน่ใจว่าเข้าใจมากน้อยแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็คิดได้ว่าไม่ควรจะไปยึดติดกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมากเกินไป ถึงแม้ทีมที่เราชอบจะแพ้แต่ก็ไม่ได้สูญเสียอะไรไปมากเท่าไหร่ อย่างน้อยในส่วนของทีมเองก็จะได้รับประสบการณ์ ได้เรียนรู้รูปแบบการเล่นแบบใหม่ ได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดซึ่งจะสามารถนำเอาไปใช้ปรับปรุงแผนการเล่นในอนาคตให้ดีขึ้นได้ ในส่วนตัวผู้เขียนเองก็ได้ฝึกการอยู่กับความทุกข์นั้นให้ได้ ไม่กระวนกระวาย แล้วก็คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องธรรมชาติ รู้สึกปล่อยวางกับอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น รู้ซึ้งถึงคำที่ว่า ถ้าถือไว้ก็มีแต่เราที่จะหนักเอง ซึ่งก็คงเอาไปใช้กับการมองภาพประวัติศาสตร์เหตุการณ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เช่นกัน ว่าการที่เราจะสามารถเข้าถึงความจริงทางประวัติศาสตร์ให้ได้นั้น เราควรจะต้องมองอย่างเป็นกลางจริงๆ แล้วก็ปราศจากอคติ ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จนทำให้เกิดอคติ 4 คือการตัดสินไปเนื่องจากความชอบ หรือความไม่ชอบส่วนตัว เพราะอย่างที่เรารู้ว่าการเขียนประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศก็ต่างยึดถือชุดความจริงที่แตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างง่ายๆและใกล้ตัวอย่างเช่นเหตุการณ์ความขัดแย้งสองฝ่ายระหว่างคนเสื้อแดงกับเสื้อเหลืองที่เกิดขึ้นในสังคมไทย แม้เหตุการณ์ที่กล่าวถึงจะเป็นเหตุการณ์เดียวกัน แต่กลับพูดกันไปคนละด้าน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับทัศนคติ มุมมอง และความเชื่อที่แต่ละฝ่ายยึดถือนั่นเอง ดังนั้นจะเห็นได้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะเข้าถึงความจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถึงแม้จะเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นก็ตาม ดังนั้นการมองให้เห็นถึงสัจจะภาวะ มากกว่าการมองไปที่ปรากฏการณ์ก็จะทำให้เราสามารถเข้าถึงความจริงได้ใกล้มากขึ้น

ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ถือเป็นปัญหาที่ควรเร่งแก้ไข ถ้าเราต้องการที่จะพัฒนาและก้าวเดินไปข้างหน้า แต่อย่างไรก็ตามนอกจากที่เราควรจะขจัดปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศให้หมดสิ้นไปแล้ว ปัญหาภายในประเทศก็เป็นสิ่งที่เร่งด่วนไม่แพ้กันที่ควรจะหาทางเยียวยาแก้ไข ยิ่งโดยเฉพาะในประเทศไทย ที่ปัจจุบันก็ประสบกับปัญหาการแบ่งแยกของผู้คนในสังคม ซึ่งสร้างรอยร้าว สร้างบาดแผลขึ้นในใจของคนในประเทศไม่น้อย ถึงแม้ปัญหาความขัดแย้งนี้จะเกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว แต่ผู้เขียนก็เชื่อว่ามีทางออกหลายๆทางที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เพราะถ้าไม่รีบแก้ไขก็คงจะเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกมากขึ้นเรื่อยๆทุกวัน ในส่วนตัวผู้เขียนแล้วอันดับแรกเลยทุกคนต้องมีความจริงใจต่อกัน มีความจริงใจต่อประเทศ ยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก มองข้ามผลประโยชน์ของตัวเองไป เพราะเราต้องยอมรับว่าปัญหามากมายที่เกิดขึ้นมาก็เกิดมาจากการที่คนในสังคมมองเห็นผลประโยชน์ของตัวเองสำคัญกว่าส่วนรวม ซึ่งในส่วนนี้ดูเหมือนจะเป็นความคิดที่เป็นนามธรรมแต่อันที่จริงแล้วเราสามารถทำให้เป็นรูปธรรมได้ แค่ต้องไม่ยึดติดแค่นั้นเอง เราเกิดมาเราก็เกิดมาตัวเปล่า ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ ดังนั้นเรื่องของวัตถุน่าจะเป็นเรื่องที่รองมาจากเรื่องของคุณค่าด้านจิตใจ

เมื่อทุกคนยึดถือผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลักแล้ว อันดับต่อมาก็คือการเปิดใจ ใจกว้างยอมรับในความแตกต่าง หลากหลาย การมองคนที่อยู่ประเทศไทยว่าเป็นคนที่อยู่ในประเทศไทย ไม่มีพวกเขา พวกเรา ไม่ต้องแบ่งว่า ไทยพุทธ ไทยมุสลิม ไทยเหลือง ไทยแดง ไทยกลาง แต่ทุกคนก็คือคนเหมือนกัน คนที่อยู่ในประเทศที่เรียกว่าประเทศไทยเหมือนกัน มีความคิด มีทัศนคติเป็นของตัวเอง และต้องไม่คิดว่าของเราดีกว่าของเขา ของคนอื่นที่ไม่เหมือนเราด้อยกว่าหรือผิด เพราะองค์ประกอบของชีวิตของทุกคนก็แตกต่างกันจึงทำให้มีมุมมองในการมองที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว 

นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือการไม่รับข่าวสารแค่เพียงด้านเดียว เพราะหลายครั้งผู้คนต่างตัดสินคนอื่นด้วยความอคติ มองแค่ด้านดีด้านเดียว หรือด้านไม่ดีด้านเดียว ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การแบ่งพวกเขาพวกเราอย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว ในประเด็นนี้ผู้เขียนได้มีประสบการณ์ตรง เนื่องจากคุณแม่เป็นคนที่ชอบรับข่าวสารทางช่อง Blue sky เป็นอย่างมาก เปิดทุกวันเมื่อกลับถึงบ้าน โดยในส่วนตัวของผู้เขียนคิดว่าเห็นพัฒนาการของคุณแม่ตัวเอง ที่เริ่มมีอารมณ์ร่วมกับมวลมหาประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ จากที่ตอนแรกแทบจะไม่สนใจเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น แต่ในปัจจุบันรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับมวลมหาประชาชนแทบจะทุกเรื่อง แต่เป็นการรับรู้ข่าวสารแต่เพียงด้านเดียว และความรู้สึกที่คิดว่าพวกเขาพวกเราก็มีมากขึ้นตามลำดับ เพราะฉะนั้นการรับข่าวสารแต่เพียงด้านเดียวก็เป็นสาเหตุสำคัญในการก่อให้เกิดความรู้สึกแบ่งฝั่งแบ่งฝ่ายขึ้น เพราะฉะนั้นการรับข่าวสารจากหลายๆด้านก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน ที่จะสามารถลดอคติและความขัดแย้งได้

อย่างไรก็ตามวิธีการแก้ไขปัญหาที่ผู้เขียนได้เสนอไปนี้ก็ล้วนเป็นส่วนเล็กๆที่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์ในการช่วยลดบรรเทาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้ อย่างน้อยก็เริ่มที่ตัวเราก่อน นอกจากนี้ก็ยังมีวิธีการต่างๆอีกมากมายที่มีนักวิชาการหลายๆคนต่างออกมาเสนอเพื่อช่วยให้ประเทศไทยก้าวเดินหน้าข้ามพ้นปัญหาต่างๆไปได้ อย่างไรก็ดีสิ่งที่ต้องการจะเสนอก็คือ เราควรที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในประเทศของเราเสียก่อน ก่อนที่จะหวังไกล ถึงการรวมเป็นประชาคมอาเซียน เพราะอย่างที่กล่าวไปว่าถ้าหน่วยเล็กๆในหน่วยใหญ่ไม่แข็งแรงแล้วก็คงยากที่หน่วยใหญ่จะมีความมั่นคงแข็งแรงได้ แทนที่จะช่วยพากันเดินไปข้างหน้าอย่างภาคภูมิ อาจจะพากันฉุดดึงถอยหลังก็เป็นไปได้

อย่างไรก็ดีการที่จะทำให้ประเทศไทย เป็นสังคมที่น่าอยู่ เราก็ควรเริ่มจากตัวเองก่อน เริ่มจากการพัฒนาตัวเอง มองหาสิ่งที่คิดว่าเรายังบกพร่องและหาทางปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้เรากลายเป็นบุคคลที่ดีขึ้น อย่างน้อยก็จะได้ไม่เป็นภาระของผู้อื่น รู้จักสิทธิและหน้าที่ของตนเอง ไม่ก้าวก่าย ทำความเดือดร้อนและเคารพสิทธิของผู้อื่น เมื่อทุกคนทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดสังคมก็คงจะพัฒนาไปได้โดยง่าย และเชื่อว่าปัญหาต่างๆในสังคมคงจะลดน้อยลงจนอาจจะไม่เหลืออยู่อีก และสังคมของเราก็คงจะกลายเป็นสังคมที่มีความสุข และน่าอยู่มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้มาก

สุดท้ายนี้ก็อยากจะเสนอเรื่องคุณสมบัติของสังคมที่น่าอยู่อีกประการหนึ่งก็คือ การเป็นสังคมที่ไม่มีชนชั้น และมีศาลที่ตัดสินอย่างเป็นธรรม ซึ่งเราจะเห็นได้ในสังคมหลายๆสังคมว่ามีการแบ่งชนชั้นกันอย่างชัดเจน คนที่อยู่ด้านบนสุดมักจะกดขี่ข่มแหงคนที่อยู่ด้านล่าง และเมื่อคนที่อยู่ด้านล่างทนไม่ได้ ในที่สุดก็เกิดการปะทุ ระเบิดออกมา กลายเป็นว่าเกิดความขัดแย้งขึ้นอีกในสังคม นอกจากนี้การที่ศาลที่ทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินความยุติธรรม ขาดและไร้ซึ่งความยุติธรรม ตัดสินโดยการบิดเบือนความจริง ย่อมเป็นสิ่งที่สามารถสะท้อนความไร้อารยธรรมของสังคมนั้นได้อย่างชัดเจนว่าย่อมเป็นสังคมที่มีความเจริญทางด้านจิตใจของผู้คนต่ำ ดังนั้นสังคมที่ดีควรปราศจากสิ่งเหล่านี้ และเพื่อให้เห็นภาพความโหดร้ายของสังคมเช่นนี้ ผู้เขียนขอนำเสนอเพลงของ Capital Cities ชื่อเพลง Kangaroo Court ที่นอกจากจะให้ความบันเทิงแล้ง ยังได้สะท้อนภาพความอยุติธรรมของสังคมเช่นนี้ไว้ในเนื้อเพลง และใน Music Video ได้อย่างชัดเจน



โดยใน MV (Music Video) เพลงนี้เริ่มต้นโดยการที่มีตัวละครม้าลาย ต้องการที่จะเข้าไปใน Kangaroo Court ซึ่งน่าจะเป็นสถานที่ที่คนชั้นสูงเข้าไปกัน แต่เมื่อพอมาถึงคนคุมประตูก็ไม่ให้เข้าและชี้ให้ดูป้ายที่เขียนว่าห้ามม้าลายเข้า ม้าลายจึงกลับบ้านไปด้วยความผิดหวัง และได้แต่นั่งเปิดดูโทรทัศน์ ช่องที่เปิดไปก็พบแต่ช่องสารคดี ที่นำเสนอภาพที่ม้าลายกลายเป็นเหยื่อให้กับเสือหรือสิงโต ม้าลายจึงนำเอาสีมาย้อมใบหน้าของตัวเองให้เหมือนม้าและกลับไปที่ Kangaroo Court อีกครั้ง ครั้งนี้ผู้คุมประตูยอมให้ม้าลายเข้าไป เมื่อเข้าไปข้างในก็ปรากฏว่ามีสัตว์หลากหลายชนิดสังสรรค์กันอยู่ในนั้น แต่สุดท้ายแล้วก็มีคนจับได้ว่าม้าลายปลอมตัวมา สุดท้ายจึงถูกจับส่งขึ้นศาล ศาลก็ตัดสินว่าม้าลายมีความผิด สุดท้ายม้าลายจึงโดนนำตัวไปฆ่า MV นี้จบด้วยการที่ มีสิงโตตัวหนึ่งอยู่ในภัตตาคารสุดหรู รอรับประทานอาหารอยู่ ซึ่งเมื่อเปิดจานอาหารออกมาก็ปรากฏว่าเป็นเนื้อม้าลายนั่นเอง ซึ่งในเนื้อหาของ MV เพลงนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำของชนชั้นตั้งแต่เริ่มเพลงขึ้นมา การที่เลือกใช้ม้าลายเป็นสื่อก็น่าจะสื่อให้เห็นถึงความอ่อนแอ เป็นตัวแทนของการตกเป็นเบี้ยล่าง ถ้าเปรียบเทียบเป็นชนชั้น ม้าลายตัวนี้ก็คงจะอยู่ในชนชั้นที่ต่ำที่สุด สะท้อนให้เห็นความจริงของสังคมที่ว่า ความไม่เท่าเทียมกันและความเหลื่อมล้ำนั้นยังคงมีอยู่ และเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่คนในสังคมจะทำให้กันได้ และถึงแม้ม้าลายจะพยายามย้อมสีตัวเองให้กลายเป็นม้า แต่สุดท้ายเมื่อโดนจับได้ ก็ไม่ได้รับโอกาสจากสังคมอยู่ดี ซึ่งเป็นสังคมชั้นสูงนั่นเอง ซึ่งก็อาจจะเปรียบได้กับการที่คนชนชั้นสูงส่วนมากมักจะเก็บอำนาจเก็บความมั่งคั่งไว้กับตัวเองหรือพวกตัวเองเท่านั้น ไม่ยอมแบ่ง หรือกระจายความมั่งคั่งไปสู่คนชนชั้นอื่นเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันแต่อย่างใด และภาพสุดท้ายของ MV ที่สิงโตได้กินเนื้อม้าลายแล้วทำหน้าพึงพอใจเป็นอย่างมาก ก็สะท้อนว่าคนที่รวยหรือมั่งคั่งส่วนใหญ่มักจะทำผลประโยชน์อยู่บนความทุกข์ของคนอื่น ซึ่งคงจะไม่ใช่คนรวยหรือชนชั้นสูงทุกคนที่จะเป็นเช่นนี้ แต่ผู้จัดทำ MV เพลงนี้ก็คงอยากจะนำเสนอภาพความโหดร้ายของสถานการณ์เช่นนี้ ที่ยังมีอยู่จริงในสังคมปัจจุบัน โดยส่วนตัวผู้เขียนชอบเพลงนี้เพราะคิดว่าสะท้อนให้เราเห็นอะไรได้หลายๆอย่าง ทั้งความไม่เท่าเทียมกัน ความโหดร้ายที่มีอยู่ในสังคม แต่การที่เราดูก็ไม่ใช่เพื่อที่จะตอกย้ำความเหลื่อมล้ำความไม่เท่าเทียมแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ก็เพื่อเปิดโลกทัศน์ และสร้างวิสัยทัศน์ใหม่ๆให้เกิดขึ้น เพื่อที่จะได้เรียนรู้ และนำข้อคิดต่างๆที่ได้ทั้งจากการดู MV เพลงนี้ การทำงาน นำมาช่วยวางแผน หรือกำหนดแนวทางในการใช้ชีวิต เพื่อที่จะสามารถก้าวเดินไปในอนาคตให้ได้อย่างมั่นคงและหนักแน่น



วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2559

เราทำอะไรอยู่ ?

เราทำอะไรอยู่ ?

- นั่นสิ!! เราทำอะไรอยู่?

- ทำไมเราต้องฝืนทำในสิ่งที่เราไม่อยากทำ ?

- ทำไมเราต้องยอมไม่มีความสุขในวันนี้ เพื่อที่จะมีความสุขในวันหน้า? มีความสุขทุกขณะไม่ดีกว่าหรือ?

- เราทำอะไรอยู่อาจไม่สำคัญเท่า เราทำเพื่อ "อะไร" หรือ ทำเพื่อ "ใคร" ใช่ไหม?

- เรากำลังทำสิ่งที่เราควรทำหรือเปล่า? 

- เราทำ หรือเราไม่ได้ทำ?

- เราตั้งคำถามเพราะเราลืมเป้าหมาย?

- เราตั้งคำถามเพราะเราเหนื่อย?

- คำตอบมีอยู่ในทุกคำถาม?

- ลองมองดีๆก็จะเจอคำตอบ?


เรามักจะถาม ถาม ถาม ถามนู่น ถามนี่ ถามนั่น โวยวาย เหวี่ยง วีน ไม่ฟังใคร ไม่ฟังแม้กระทั่งเสียงของตัวเราเอง

บางครั้งคำตอบของหลายๆคำถาม ก็อยู่ในคำถามนั่นล่ะ

บางครั้งเราอาจจะหลงลืมคำตอบไปบ้าง บางครั้งเราก็รู้คำตอบอยู่แล้วแต่อยากจะเปลี่ยนคำตอบซะเหลือเกิน ถ้ามันเปลี่ยนได้ก็ดี แต่ถ้ามันเปลี่ยนไม่ได้ ก็คงต้องหาคำถามใหม่ เพื่อให้ได้คำตอบที่ต้องการ

เปลี่ยนคำถามได้ด้วยหรอ? ได้สิ! ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? มนุษย์เราก็เป็นอย่างนี้แหละ เปลี่ยนไป เปลี่ยนมาได้ตลอด เปลี่ยนให้พอดีกับตัวเรา แต่อย่าเปลี่ยนจนลืมตัวตนที่แท้จริงไปซะล่ะ!!!

ตัวฉัน... ในวันที่หยุดแต่ก็ยังมานั่งในออฟฟิศใจกลางเมืองกรุงอันแสนวุ่นวาย
2 เมษายน 2559