ช่วงวัยรุ่นถึงวัยทำงานตอนต้นเป็นช่วงวัยที่แบบโคตรพีค!!!เลยอ่ะ
เรามักจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า "เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อย!!!"อยู่บ่อยๆ
แต่ความจริงแล้วเป็นวัยทำงานนั้น "แม่งงง โคตรเหนื่อยยยย"เลยค่ะ
แต่เอาตามจริงป้ะ ดูไปดูมามันก็เหนื่อยทุกช่วงนั่นล่ะถ้าคิดว่ามันเหนื่อย
งั้นจริงๆแล้วเราก็ควรจะสนุกกับการใช้ชีวิตดีกว่าเนอะ
เหนื่อยก็เหนื่อยเส้!! มา!! จะพุ่งชนให้หมดเลยยย!! (ออกแนวบ้าคลั่ง ==)
ตัวฉัน... ในเช้าที่ดูมึนๆ ในออฟฟิศที่เปล่าเปลี่ยวและเสียวต้นคอซะเหลือเกิน !!
4 เมษายน 2559
เรื่องราวธรรมดาของมนุษย์โลก สิ่งที่อยากบ่น ข้อความที่อยากระบาย บทความที่เคยเขียน เรื่องที่เกิดขึ้นจริง คำถาม ข้อคิด มุมมองการใช้ชีวิต การกิน การเที่ยว เมนูอาหาร การทำกับข้าว หมา แมว เรื่องที่กำลังสนใจ อะไรก็แล้วแต่ที่วนเวียนอยู่รอบตัวผู้หญิงคนหนึ่ง คือเนื้อหาในบล็อกๆนี้ :)
วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559
HISTORY OF SOUTHEAST ASIA FROM THE 19TH CENTURY TO THE PRESENT
บทความต่อไปนี้ เป็นส่วนหนึ่งของวิชาประวัติศาสตร์ ผู้เขียนเขียนด้วยความรู้และประสบการณ์ชีวิต ณ ช่วงเวลานั้น มีความมึนงง สับสน ในการเขียนอยู่ไม่น้อย >//< ฮ่าๆๆ ประเด็นอาจจะไม่ค่อยเป็นประเด็นเท่าไหร่ จุดประสงค์ตอนนั้นน่าจะเป็นการพยายามบูรณาการความรู้ต่างๆให้เชื่อมโยงสอดคล้องกับเรื่องที่เรียน งานเขียนจึงออกมาคล้ายๆขนมลอดช่องที่ใส่ทั้งสลิ่ม และทับทิมกรอบ ถึงออกจะแปลกๆสักหน่อย แต่ก็พอกินได้
พอได้กลับไปอ่านงานเก่าๆ รู้สึกเหมือนได้กลับไปอ่านไดอารี่ของตัวเอง มีความรู้สึกยังไงไม่รู้ 5555 บางขณะก็รู้สึกว่าเราช่างตื้นเขินยิ่งนัก ทำไมคิดอะไรเด็กจังเลย แต่ในบางขณะก็รู้สึกว่า เอ๊ะะ เราคิดแบบนั้นได้ยังไง ลืมความรู้สึกหลายๆอย่างไปแล้ว แต่ความรู้สึกโดยรวมอยู่ในโซนบวกนะ :)
ตัวฉัน... วันนี้ที่อากาศร้อนมากกว่าเมื่อวาน
3 เมษายน 2559
ตัวฉัน... วันนี้ที่อากาศร้อนมากกว่าเมื่อวาน
3 เมษายน 2559
HISTORY OF SOUTHEAST
ASIA FROM THE 19TH CENTURY TO THE PRESENT
ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้คริสต์ศตวรรษที่
19 จนถึงปัจจุบัน
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่มีความสำคัญมากอีกแห่งหนึ่งของโลก
นับว่าเป็นแหล่งที่มีทรัพยากรธรรมชาติอยู่มากมาย
จึงถือเป็นพื้นที่ที่เหล่าประเทศมหาอำนาจต่างต้องการครอบครองและพยายามช่วงชิงไปจากคนพื้นเมืองมาตั้งแต่อดีต
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ดูสวยหรูอย่างการเข้าเพื่อต้องการนำความเจริญ นำอารายธรรมมาสู่ภูมิภาคแห่งนี้
หรืออ้างว่าต้องการเข้ามาเผยแผ่ศาสนา โดยกล่าวว่าเป็นภารกิจของคนผิวขาว
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ก็มองได้เพียงอย่างเดียวว่าประเทศมหาอำนาจเหล่านั้นเข้ามาในภูมิภาคแห่งนี้ก็เพื่อความมั่งคั่ง
เพื่อผลประโยชน์ทั้งสิ้น เพราะการที่ได้มีอำนาจเหนือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เหมือนกับว่าได้ครอบครองแหล่งทรัพย์มหาศาลของโลกนั่นเอง
จนแม้กระทั่งปัจจุบันในยุคโลกาภิวัฒน์
ถึงแม้จะไม่ได้มีการเข้ายึดครองหรือครอบครองประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยตรงหรือเห็นได้ชัดเจนเหมือนในยุคล่าอาณานิคมแล้วก็ตาม
แต่เมื่อเราพิจารณาให้ดี การเข้ามามีอิทธิพลของชาติมหาอำนาจในภูมิภาคนี้ในปัจจุบัน
กลับเข้ามาในรูปแบบที่น่ากลัวกว่าเดิมมาก
เพราะเข้ามาแบบไม่ให้ผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ทันรู้ตัว ฝังรากลึกจนถึงกระทั่งแม้รู้ตัวก็ยากเกินกว่าจะถอนตัวออกได้ทัน
การเข้ามาในรูปแบบใหม่นี้เข้ามามีอิทธิพลกับชีวิตของผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นอย่างมาก
เป็นการเข้ามาในรูปแบบของการค่อยๆแทรกซึม ซึมลึก ฝังแน่น
โดยเฉพาะอิทธิพลทางวัฒนธรรมและความคิด และยิ่งในยุคโลกาภิวัฒน์ที่ทุกๆอย่างดูจะเคลื่อนตัวไปได้อย่างรวดเร็ว
ทั่วโลกสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้เพียงแค่กดปุ่ม จึงถือเป็นยุคไร้พรมแดนอย่างแท้จริง
และนั่นทำให้ประเทศมหาอำนาจสามารถป้อน
หรือครอบงำทางความคิดของผู้คนได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะผู้คนในประเทศกำลังพัฒนา
ในหลายๆครั้งเราเห็นถึงการครอบงำทางความคิด
โดยวิธีที่ง่ายและดูจะลงทุนน้อย
และมีการสูญเสียน้อยกว่าการใช้กำลังทหารเข้ายึดครอง(ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็คงแทบจะไม่มีใครทำกันแล้ว)
คือการใช้สื่อ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ โฆษณา เพลง หรือการปลูกฝังค่านิยมบางประการ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราสามารถเห็นได้ชัดเจนในปัจจุบัน
เรามักจะมีค่านิยมบางประการที่ถูกป้อนเข้าหัวสมองตั้งแต่ที่เรายังไม่ทันรู้ประสีประสา
ดังนั้นจะขอยกตัวอย่างง่ายๆซึ่งใกล้ตัว(ผู้เขียน)มาก ก็คือค่านิยมของการที่ผู้หญิงไทยต้องมีผิวขาว
ซึ่งดูจะเป็นแนวคิดหรือความเชื่อที่ขัดกับพันธุกรรมของเราเป็นอย่างมาก แต่เราก็มีความเชื่อ
ความคิดเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก ถ้าผู้หญิงคนไหนผิวคล้ำถือว่าผิดมาก ถือว่าเป็นคนที่ดูด้อยกว่าคนที่มีผิวขาว
ซึ่งความคิดเหล่านี้ฝังรากลึกมานานจนยากที่จะขจัดออกไปได้โดยง่าย
เราถูกซึมซับมาตั้งแต่เด็ก
ทั้งจากภาพยนตร์หรือละครซึ่งน้อยครั้งมากที่นางเอกจะผิวคล้ำ ถึงแม้ผิวคล้ำในตอนแรก
แต่สุดท้ายก็จะกลายเป็นผิวขาวอยู่ดีเนื่องจากนางเอกต้องปลอมตัวเป็นคนใช้เข้าไปในบ้านพระเอก
เพราะฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่าการที่มีผิวคล้ำได้ถูกนำเอามาแทนความต่ำ(ชนชั้น)
ความด้อย ความไม่เจริญ หลังจากเรามีชุดความคิดนี้ในขั้นแรกแล้ว
เราก็จะมีความคิดชุดใหม่เกิดขึ้นตามมา คือการต้องการให้ผิวของเราเป็นผิวขาว
เมื่อคิดได้ดังนั้นเราก็จำเป็นที่จะต้องสรรหาวิธีการต่างๆที่จะทำให้เราผิวขาวขึ้น
โดยวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือไปซื้อ ครีมทาผิว Whitening ที่สามารถทำให้สีผิวของเราขาวขึ้นได้
ซึ่งครีมทาผิวเหล่านี้ก็มีขายอยู่ทั่วไปในท้องตลาด
มีตั้งแต่สิบกว่าบาทจนถึงราคาเป็นพันเป็นหมื่น ซึ่งถ้าเราจะสังเกตหรือฉุกคิดสักนิด
เราจะเห็นได้ว่าผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เร่งผิวขาวเหล่านั้นล้วนมีผู้ผลิตเป็นชาวต่างชาติทั้งสิ้น
ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าเป็นการง่ายของประเทศมหาอำนาจที่จะเข้ามามีอิทธิพล
และสูบเอาผลประโยชน์จากเรา แต่เราก็ไม่สามารถไปโทษ
หรือโยนว่าเป็นความผิดของประเทศเหล่านั้นได้
เพราะสาเหตุที่แท้จริงนั้นก็มาจากตัวเราเองที่ไม่รู้จักพอ เมื่อเกิดความโลภขึ้นมา
สติสัมปชัญญะที่ควรจะมีอยู่ก็ถูกบดบังไปได้อย่างง่ายดาย และเมื่อเราขาดสติรู้ตัว
ก็คงไม่ยากที่จะตกเป็นเหยื่อของคนฉลาด โดยเฉพาะคนที่วางแผนและทำให้เราเดินลงไปยังกับดักนั้นได้อย่างแยบยล
เหมือนนายพรานที่สร้างกับดักเพื่อใช้ดักเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย
นอกจากคติความเชื่อเรื่องผิวขาวแล้ว
ผู้เขียนยังอยากจะขอเสนอค่านิยมอีกเรื่องซึ่งผู้เขียนคิดว่าเป็นค่านิยมที่กำลังแพร่หลายในปัจจุบันและเห็นได้ทั่วไป
ค่านิยมนั้นก็คือค่านิยมการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อ iphone
ซึ่งค่านิยมนี้เป็นค่านิยมที่เชื่อว่าคนที่ใช้โทรศัพท์ยี่ห้อนี้เป็นคนที่มีฐานะ
ซึ่งก็อาจจะมีส่วนจริงเนื่องจากราคาของเครื่องก็มีราคาสูงอยู่พอสมควร
แต่จากการที่มีวิธีการที่จะซื้อหลายวิธี อย่างเช่นการผ่อนจ่าย
ทำให้ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคนที่มีเงินมากเท่านั้นที่จะซื้อได้
คนที่มีฐานะปานกลางก็พอจะซื้อได้เช่นกัน ทำให้ผู้คนทั่วไปอยากจะได้มาเป็นเจ้าของ
โดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนมีเพื่อนหลากหลายแบบ ทำให้เห็นว่าในหลายๆครั้ง
เพื่อนของผู้เขียนหลายคนถึงแม้ที่บ้านจะมีฐานะไม่มากนัก แต่ก็ขอเงินพ่อแม่ไปซื้อโทรศัพท์เพียงเพื่อที่จะต้องการให้เข้ากับค่านิยมที่กำลังเป็นไปในปัจจุบัน
โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและผลประโยชน์ที่จะได้รับเป็นเรื่องที่รองลงมา(หรือแทบจะหลังสุด)
ซึ่งสิ่งนี้คงจะเป็นผลของค่านิยมที่เราต่างถูกฝังมา อาจจะจากโฆษณา
เพราะธีมของโฆษณาเองก็จะดูเรียบหรู มีสไตล์ หรือการที่ใช้เหล่าคนรวย
คนดังเป็นพรีเซนเตอร์ หรือเป็นผู้สนับสนุนในละครหลายๆเรื่อง
ทำให้เวลาเราดูละครหรือดูหนังก็จะเห็นจนเป็นเรื่องปกติว่าตัวละครในละครก็ใช้ iphone จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่วัยรุ่นโดยทั่วไปจะถูกปลูกฝังค่านิยมเช่นนี้มา
ถึงแม้ตัวผู้เขียนจะเห็นด้วยกับทฤษฎีที่กล่าวว่ามนุษย์ไม่สามารถอยู่ตัวคนเดียวได้
ดังนั้นมนุษย์ทุกคนจึงต้องการมีตัวตน มียืนในสังคม
แต่การที่จะต้องซื้อโทรศัพท์ราคาแพงเพียงเพื่อที่จะสามารถมีหน้ามีตา
และเข้าไปยืนอยู่ในสังคมได้ก็ดูจะเป็นความคิดที่ได้ไม่คุ้มเสีย แล้วเมื่อลองคิดดูว่าสังคมที่เราจะเข้าไปอยู่หลังจากทำตามค่านิยมบางอย่างโดยไม่คิดแล้ว
คงจะไม่ใช่สังคมที่น่าอภิรมย์เท่าใดนัก
อย่างไรก็ตาม
ผู้เขียนไม่ได้ปฏิเสธว่าการรับเอาวัฒนธรรมของต่างชาติเข้ามาเป็นเรื่องที่ผิดหรือไม่ดี
แต่ในปัจจุบัน หลายๆครั้งนั้นเรารับเอามาโดยไม่ทันได้คิดไตร่ตรองให้ดี
ถ้าเราจะรับก็ขอให้รับโดยรู้ตัวและให้ถือว่าได้เลือกสรรอย่างดีที่สุดและเหมาะสมกับตัวเราเองแล้ว
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวเอง
แต่ถ้าเราแค่เพียงรับเอาวัฒนธรรมต่างๆหรือทำตามกระแสนิยมโดยคิดเอาเองว่าเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่เขาทำกัน
เราอาจจะไม่ได้รับประโยชน์อันแท้จริงซึ่งซ่อนอยู่ในวัฒนธรรมเหล่านั้นเลย
ซึ่งการรับเอาวัฒนธรรมของต่างชาติเข้าก็มาเป็นเรื่องปกติ
และเราก็เห็นได้จากรากฐานวัฒนธรรมของเราเองซึ่งมีมายาวนาน
เนื่องจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งอยู่ระหว่างขั้ววัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่สองวัฒนธรรม
ซึ่งก็คือวัฒนธรรมของจีน กับวัฒนธรรมอินเดีย ทำให้คงจะเป็นการยากที่จะต้านทานกระแสวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ของสองขั้วมหาอำนาจนี้ได้
เราจึงได้รับรับเอาวัฒนธรรมของทั้งสองวัฒนธรรมนี้มาปรับใช้ในวิถีชีวิตของเรา
แต่การรับเอาวัฒนธรรมทั้งสองวัฒนธรรมในอดีตนั้น
ผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รู้จักรับ เรารับอย่างฉลาด
และปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมดั้งเดิมที่มีอยู่แล้ว
อย่างที่เราทราบกันดีว่าการนับถือผีเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของคนในภูมิภาคนี้เนื่องมาจากการใช้ชีวิตที่ต้องพึ่งพิงธรรมชาติ
ดังนั้นเราจึงเคารพบูชา จ้าวป่า จ้าวเขา หรือผีบรรพบุรุษ เพื่ออย่างน้อยก็ทำให้เราใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติได้อย่างราบรื่น
ไม่หวาดกลัวจนเกินไป แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเรารับเอาศาสนาพุทธจากอินเดีย
หรือลัทธิความเชื่อต่างๆจากจีน เราก็ไม่ได้ละทิ้งความเชื่อดั้งเดิมของเราเอง
แต่กลับมีการปรับใช้ ประยุกต์ให้เข้ากับความเชื่อเดิมของเรา หรือในบางครั้งก็นำมาใช้ส่งเสริมความเชื่อเดิม
อย่างที่เราเห็นได้ในปัจจุบันที่เรายังมีการเคารพนับถือผี นับถือธรรมชาติ
อย่างพระแม่คงคา พระแม่ธรณีอยู่
นอกจากนี้ผู้เขียนยังเคยมีโอกาสได้ไปลงพื้นที่สัมภาษณ์ชาวบ้านในตลาดศรีประจันต์
ซึ่งเป็นชุมชนการค้าแห่งหนึ่งในจังหวัดสุพรรณบุรี
และได้ไปสัมภาษณ์คุณยายท่านหนึ่งซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายจีน
คุณยายเล่าว่าถึงแม้คุณยายจะถูกสั่งสอนและเติบโตโดยคุณพ่อที่เป็นคนจีนแท้ แต่คุณยายก็ตักบาตรตอนเช้าทุกเช้า
และคุณยายก็ไม่เคยละเลยวัฒนธรรมอันดีงามของคนไทย ซึ่งสิ่งนี้ในส่วนตัวผู้เขียนเองคิดว่ามันก็เป็นส่วนหนึ่งที่สามารถสะท้อนให้เห็นว่าผู้คนในภูมิภาคนี้รู้จักปรับตัว
รู้จักนำเอาสิ่งใหม่มาประยุกต์ใช้โดยไม่ละเลยสิ่งเก่า ซึ่งแตกต่างจากในปัจจุบัน
ที่วัยรุ่น โดยเฉพาะวัยรุ่นไทยที่เปิดรับเอาวัฒนธรรมภายนอกอย่างมาก แต่ไม่ได้รู้จักปรับใช้อย่างเช่นเหล่าบรรพบุรุษของเรา
ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง
เพราะบางครั้งเรารับวัฒนธรรมภายนอกมากซะจนกระทั่งหลงลืมไปแล้วว่ารากเหง้า
รากฐานที่แท้จริงของเราคืออะไร
ปัญหาเรื่องของการรับวัฒนธรรมจากภายนอกโดยไม่เลือกคัดสรรให้เหมาะสม
ก็ดูจะเป็นปัญหาที่น่าเป็นห่วงในภูมิภาคแห่งนี้เพราะสุ่มเสี่ยงต่อการที่อัตลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นจะสูญหายไปได้โดยง่าย
แต่ปัญหาจากภายนอกก็ดูจะน่าเป็นห่วงน้อยกว่าปัญหาที่มาจากภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เอง
ดังนั้นอีกหนึ่งปัญหาที่ดูจะน่าเป็นห่วงไม่แพ้กันก็คือปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ซึ่งเป็นปัญหาที่เราพบเห็น และเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานตั้งแต่ในอดีต
อย่างเช่นดินแดนในบริเวณภาคพื้นทวีปก็จะมีปัญหากันระหว่างดินแดนในเรื่องการแย่งชิงผู้คน
เนื่องจากบริเวณภาคพื้นทวีปนั้นมีทรัพยากรอยู่มาก แต่ขาดกำลังคนที่จะใช้ก่อบ้าน
สร้างเมือง หลายครั้งดินแดนใกล้เคียงกันซึ่งไม่ได้มีเส้นเขตแดนที่แน่นอนจึงทำการรบกันเพื่อแย่งชิงดินแดนและทรัพยากรมนุษย์
ซึ่งต่างจากบริเวณกลุ่มเกาะที่มีพื้นที่และทรัพยากรจำกัด
การทำสงครามกันในหลายๆครั้งก็เป็นเพื่อการแย่งชิงพื้นที่และทรัพยากรในการดำรงชีวิต
อย่างไรก็ตามถึงแม้ภายหลังยุคล่าอาณานิคม
จะเกิดประเทศ และมีเส้นเขตแดนของแต่ละประเทศที่แน่นอนแล้วก็ตาม
แต่ปัญหาเรื่องของเขตแดนก็ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน อย่างกรณีที่ใกล้ตัวเราก็คือกรณีพิพาทระหว่างไทยกับเขมรในเรื่องการแย่งชิงพื้นที่บริเวณเขาพระวิหาร
ซึ่งปัญหานี้ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้วและก็ยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่ในปัจจุบัน หรือไม่ว่าจะเป็นประเด็นการทะเลาะกันเรื่องของรัฐซา-บาห์ระหว่างมาเลเซียกับฟิลิปปินส์ที่บั่นทอนความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ยังมีกรณีปัญหาข้อพิพาทเปดราบรังการะหว่างมาเลเซียกับสิงคโปร์ที่ต่างก็อ้างสิทธิของตัวเองเหนือพื้นที่ขนาดเล็กในทะเลจีนใต้
นอกจากตัวอย่างที่กล่าวมานี้
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศในอีกหลายๆกรณีด้วยกัน
ซึ่งส่วนใหญ่สาเหตุหลักๆก็น่าจะมาจากการขัดผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน
เพราะแต่ละประเทศในภูมิภาคแห่งนี้มักถือเอาประโยชน์ของประเทศตัวเองเป็นเรื่องสูงสุดที่ควรทำ
ซึ่งในหลายครั้งผลประโยชน์เหล่านั้นก็ไปขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน
อย่างไรก็ดีปัญหาความขัดแย้งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นบ่อนทำลายความเจริญรุ่งเรืองที่หลายฝ่ายต่างก็หวังจะให้เกิดขึ้นในภูมิภาคแห่งนี้
เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือการรีบเร่งหาจุดร่วมหรือแนวทางแก้ไขที่จะทำให้ทุกฝ่ายเกิดความพึงพอใจ
ซึ่งเราก็จะเห็นได้ว่ามีการพยายามการสร้างองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ซึ่งก็ล้วนมีจุดมุ่งหมายที่จะช่วยขจัดและบรรเทาปัญหาความขัดแย้งต่างๆที่เกิดขึ้นภายในภูมิภาคแห่งนี้
ส่วนในเรื่องที่ว่าจะได้ผลดีจริงหรือไม่
ก็คงจะขึ้นอยู่กับความจริงจังและจริงใจของแต่ละประเทศในภูมิภาคแห่งนี้เอง
ซึ่งในประเด็นนี้ผู้เขียนก็มองเห็นภาพความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบันว่าคล้ายคลึงกับการแข่งขันฟุตบอลของทีมทีมหนึ่ง
และสามารถเปรียบได้ว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็คือทีมฟุตบอลหนึ่งทีมที่แต่ละประเทศร่วมกันตั้งขึ้นมา
ซึ่งเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2557 ผู้เขียนได้มีโอกาสนั่งดูฟุตบอลเยาวชนชิงถ้วยของ
coke
ระหว่างสุพรรณบุรีกับบุรีรัมย์
ระหว่างดูการแข่งขันระหว่างสองทีมนี้ก็รู้สึกว่าการที่จะทำให้ทีมฟุตบอลทีมหนึ่งเล่นได้ดีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
การที่จะไปให้ถึงฝั่งฝันจำเป็นต้องผ่านการฝึกซ้อม การทำงานร่วมกัน
ผ่านอุปสรรคมากมาย ซึ่งนักฟุตบอลแต่ละคนในทีม
ก็เปรียบเหมือนกับประเทศในแต่ละประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นอกจากนักแตะแต่ละคนจำเป็นจะต้องเตรียมพร้อมร่างกายให้แข็งแรงแล้ว
นักเตะแต่ละคนก็จำเป็นที่จะต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี
และถ้าหากว่านักเตะแต่ละคนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกัน มีปัญหาความขัดแย้งกัน
ทะเลาะกัน อาจจะทำให้การทำงาน
การประสานงานกันระหว่างนักเตะในทีมก็คงจะไม่มีประสิทธิภาพ
และคงจะส่งผลเสียต่อทีมมากกว่าผลดีแน่นอน อย่างเช่นเมื่อศูนย์หน้าได้เลี้ยงลูกบอลไปใกล้ประตูของฝั่งตรงข้ามเพื่อที่จะทำคะแนน
แต่กลับเก็บลูกบอลไว้เอง
ไม่ยอมส่งบอลให้เพื่อนที่อยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าซึ่งสามารถทำคะแนนได้ง่ายกว่าเป็นผู้ทำคะแนน
ผลสุดท้ายก็คือนักบอลคนนั้นตัดสินใจทำประตูเอง แต่ก็ไม่สามารถทำคะแนนได้
ซึ่งก็ทำให้เสียผลประโยชน์ของทีมไป ซึ่งก็เหมือนกันกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาคของเรานั่นเอง
ถ้าเรายังไม่แก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นให้คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นไม่ได้
การพยายามที่จะรวมตัวกัน ไม่ว่าจะเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือองค์กรอื่นๆ
ก็คงจะไม่ประสบผลสำเร็จ ก็คงจะเป็นเหมือนทีมฟุตบอลที่แพ้ในการแข่งขัน และเมื่อเราตกลงใจที่จะรวมกันเป็นทีมแล้ว
ประโยชน์ส่วนตัวก็น่าจะเป็นเรื่องที่รองลงมาจากผลประโยชน์ส่วนรวม
ซึ่งในประเด็นสุดท้ายนี้ก็คิดว่าน่าจะยังคงเป็นไปได้ยากอยู่ที่จะทำให้แต่ละประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ละทิ้งผลประโยชน์ส่วนตัวและเห็นถึงผลประโยชน์แห่งภูมิภาคมาก่อนสิ่งอื่นใด
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้ เพียงแค่อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง
และต้องมีตัวกำหนดหรือเงื่อนไขบางประการในการกำกับดูแลเพื่อให้เกิดความร่วมมือเช่นนั้นขึ้น
นอกจากจะได้ข้อคิดในเรื่องของการมองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว
ผู้เขียนยังได้ข้อคิดในการมองชีวิตในแง่มุมอื่นๆเพิ่มขึ้นอีกด้วย เนื่องจากนอกจากการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วย
Coke ระหว่างบุรีรัมย์และสุพรรณบุรีแล้ว
ผู้เขียนยังมีโอกาสได้ดูฟุตบอลอีกหนึ่งคู่ในตอนกลางคืน คือการแข่งขันระหว่าง
ลิเวอร์พูลกับอาเซนอล ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผู้เขียนชื่นชอบทีมสุพรรณบุรี
และทีมลิเวอร์พูล แต่ผลการแข่งขันของทั้งสองทีมก็คือปรากฏว่าแพ้ทั้งคู่ โดยส่วนตัวในตอนแรกก็รู้สึกว่าผิดหวังมาก
อันที่จริงพอทีมที่ชอบทีมแรกแพ้ก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่ก็ผิดหวังนิดๆ
แต่พอทีมที่สองแพ้ก็เลยรู้สึกว่าการผิดหวังซ้ำๆ
สองครั้งในวันเดียวเป็นอะไรที่รับไม่ไหว แต่พอนั่งนิ่งๆคิดทบทวนสักพักก็ได้ข้อคิดอะไรหลายๆอย่างจากการชมการแข่งขันฟุตบอลสองคู่นี้เหมือนกัน
อันดับแรกก็คือไม่ควรตั้งความหวังกับอะไรไว้มากจนเกินไป
ควรตั้งอยู่บนความพอดีและอาศัยหลักการเหตุและผลเป็นตัวช่วยในการวิเคราะห์ตัดสิน
ซึ่งในข้อนี้ถึงแม้จะมีใครหลายๆคนพูดว่าจะไปคาดเดาเอาอะไรได้กับฟุตบอล
ก็แค่ลูกกลมๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วเราสามารถดูโดยใช้การวิเคราะห์เข้าช่วยได้
ถ้าเราปราศจากอคติ ไม่ลำเอียงเข้าข้างทีมใดมากเกินไป
เราก็จะสามารถมองเห็นความจริงแล้วก็แนวโน้มของผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นได้เช่นกัน
นอกจากนี้ยังเข้าใจคำว่าสัจจะภาวะที่อาจารย์ชอบพูดถึงมากขึ้น
ซึ่งอันที่จริงก็ไม่แน่ใจว่าเข้าใจมากน้อยแค่ไหน
แต่อย่างน้อยก็คิดได้ว่าไม่ควรจะไปยึดติดกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมากเกินไป
ถึงแม้ทีมที่เราชอบจะแพ้แต่ก็ไม่ได้สูญเสียอะไรไปมากเท่าไหร่
อย่างน้อยในส่วนของทีมเองก็จะได้รับประสบการณ์ ได้เรียนรู้รูปแบบการเล่นแบบใหม่
ได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดซึ่งจะสามารถนำเอาไปใช้ปรับปรุงแผนการเล่นในอนาคตให้ดีขึ้นได้
ในส่วนตัวผู้เขียนเองก็ได้ฝึกการอยู่กับความทุกข์นั้นให้ได้ ไม่กระวนกระวาย
แล้วก็คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องธรรมชาติ รู้สึกปล่อยวางกับอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น
รู้ซึ้งถึงคำที่ว่า ถ้าถือไว้ก็มีแต่เราที่จะหนักเอง ซึ่งก็คงเอาไปใช้กับการมองภาพประวัติศาสตร์เหตุการณ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เช่นกัน
ว่าการที่เราจะสามารถเข้าถึงความจริงทางประวัติศาสตร์ให้ได้นั้น
เราควรจะต้องมองอย่างเป็นกลางจริงๆ แล้วก็ปราศจากอคติ ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
จนทำให้เกิดอคติ 4 คือการตัดสินไปเนื่องจากความชอบ หรือความไม่ชอบส่วนตัว
เพราะอย่างที่เรารู้ว่าการเขียนประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศก็ต่างยึดถือชุดความจริงที่แตกต่างกันออกไป
ยกตัวอย่างง่ายๆและใกล้ตัวอย่างเช่นเหตุการณ์ความขัดแย้งสองฝ่ายระหว่างคนเสื้อแดงกับเสื้อเหลืองที่เกิดขึ้นในสังคมไทย
แม้เหตุการณ์ที่กล่าวถึงจะเป็นเหตุการณ์เดียวกัน แต่กลับพูดกันไปคนละด้าน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับทัศนคติ
มุมมอง และความเชื่อที่แต่ละฝ่ายยึดถือนั่นเอง ดังนั้นจะเห็นได้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะเข้าถึงความจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถึงแม้จะเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นก็ตาม
ดังนั้นการมองให้เห็นถึงสัจจะภาวะ
มากกว่าการมองไปที่ปรากฏการณ์ก็จะทำให้เราสามารถเข้าถึงความจริงได้ใกล้มากขึ้น
ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ถือเป็นปัญหาที่ควรเร่งแก้ไข
ถ้าเราต้องการที่จะพัฒนาและก้าวเดินไปข้างหน้า
แต่อย่างไรก็ตามนอกจากที่เราควรจะขจัดปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศให้หมดสิ้นไปแล้ว
ปัญหาภายในประเทศก็เป็นสิ่งที่เร่งด่วนไม่แพ้กันที่ควรจะหาทางเยียวยาแก้ไข
ยิ่งโดยเฉพาะในประเทศไทย ที่ปัจจุบันก็ประสบกับปัญหาการแบ่งแยกของผู้คนในสังคม
ซึ่งสร้างรอยร้าว สร้างบาดแผลขึ้นในใจของคนในประเทศไม่น้อย ถึงแม้ปัญหาความขัดแย้งนี้จะเกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว
แต่ผู้เขียนก็เชื่อว่ามีทางออกหลายๆทางที่สามารถแก้ไขปัญหาได้
เพราะถ้าไม่รีบแก้ไขก็คงจะเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกมากขึ้นเรื่อยๆทุกวัน
ในส่วนตัวผู้เขียนแล้วอันดับแรกเลยทุกคนต้องมีความจริงใจต่อกัน
มีความจริงใจต่อประเทศ ยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก
มองข้ามผลประโยชน์ของตัวเองไป
เพราะเราต้องยอมรับว่าปัญหามากมายที่เกิดขึ้นมาก็เกิดมาจากการที่คนในสังคมมองเห็นผลประโยชน์ของตัวเองสำคัญกว่าส่วนรวม
ซึ่งในส่วนนี้ดูเหมือนจะเป็นความคิดที่เป็นนามธรรมแต่อันที่จริงแล้วเราสามารถทำให้เป็นรูปธรรมได้
แค่ต้องไม่ยึดติดแค่นั้นเอง เราเกิดมาเราก็เกิดมาตัวเปล่า ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้
ดังนั้นเรื่องของวัตถุน่าจะเป็นเรื่องที่รองมาจากเรื่องของคุณค่าด้านจิตใจ
เมื่อทุกคนยึดถือผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลักแล้ว
อันดับต่อมาก็คือการเปิดใจ ใจกว้างยอมรับในความแตกต่าง หลากหลาย
การมองคนที่อยู่ประเทศไทยว่าเป็นคนที่อยู่ในประเทศไทย ไม่มีพวกเขา พวกเรา
ไม่ต้องแบ่งว่า ไทยพุทธ ไทยมุสลิม ไทยเหลือง ไทยแดง ไทยกลาง
แต่ทุกคนก็คือคนเหมือนกัน คนที่อยู่ในประเทศที่เรียกว่าประเทศไทยเหมือนกัน มีความคิด
มีทัศนคติเป็นของตัวเอง และต้องไม่คิดว่าของเราดีกว่าของเขา
ของคนอื่นที่ไม่เหมือนเราด้อยกว่าหรือผิด
เพราะองค์ประกอบของชีวิตของทุกคนก็แตกต่างกันจึงทำให้มีมุมมองในการมองที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว
นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือการไม่รับข่าวสารแค่เพียงด้านเดียว
เพราะหลายครั้งผู้คนต่างตัดสินคนอื่นด้วยความอคติ มองแค่ด้านดีด้านเดียว
หรือด้านไม่ดีด้านเดียว ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การแบ่งพวกเขาพวกเราอย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว
ในประเด็นนี้ผู้เขียนได้มีประสบการณ์ตรง
เนื่องจากคุณแม่เป็นคนที่ชอบรับข่าวสารทางช่อง Blue sky เป็นอย่างมาก เปิดทุกวันเมื่อกลับถึงบ้าน โดยในส่วนตัวของผู้เขียนคิดว่าเห็นพัฒนาการของคุณแม่ตัวเอง
ที่เริ่มมีอารมณ์ร่วมกับมวลมหาประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ จากที่ตอนแรกแทบจะไม่สนใจเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น
แต่ในปัจจุบันรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับมวลมหาประชาชนแทบจะทุกเรื่อง
แต่เป็นการรับรู้ข่าวสารแต่เพียงด้านเดียว
และความรู้สึกที่คิดว่าพวกเขาพวกเราก็มีมากขึ้นตามลำดับ
เพราะฉะนั้นการรับข่าวสารแต่เพียงด้านเดียวก็เป็นสาเหตุสำคัญในการก่อให้เกิดความรู้สึกแบ่งฝั่งแบ่งฝ่ายขึ้น
เพราะฉะนั้นการรับข่าวสารจากหลายๆด้านก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน
ที่จะสามารถลดอคติและความขัดแย้งได้
อย่างไรก็ตามวิธีการแก้ไขปัญหาที่ผู้เขียนได้เสนอไปนี้ก็ล้วนเป็นส่วนเล็กๆที่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์ในการช่วยลดบรรเทาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้
อย่างน้อยก็เริ่มที่ตัวเราก่อน
นอกจากนี้ก็ยังมีวิธีการต่างๆอีกมากมายที่มีนักวิชาการหลายๆคนต่างออกมาเสนอเพื่อช่วยให้ประเทศไทยก้าวเดินหน้าข้ามพ้นปัญหาต่างๆไปได้
อย่างไรก็ดีสิ่งที่ต้องการจะเสนอก็คือ เราควรที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในประเทศของเราเสียก่อน
ก่อนที่จะหวังไกล ถึงการรวมเป็นประชาคมอาเซียน เพราะอย่างที่กล่าวไปว่าถ้าหน่วยเล็กๆในหน่วยใหญ่ไม่แข็งแรงแล้วก็คงยากที่หน่วยใหญ่จะมีความมั่นคงแข็งแรงได้
แทนที่จะช่วยพากันเดินไปข้างหน้าอย่างภาคภูมิ อาจจะพากันฉุดดึงถอยหลังก็เป็นไปได้
อย่างไรก็ดีการที่จะทำให้ประเทศไทย
เป็นสังคมที่น่าอยู่ เราก็ควรเริ่มจากตัวเองก่อน เริ่มจากการพัฒนาตัวเอง
มองหาสิ่งที่คิดว่าเรายังบกพร่องและหาทางปรับปรุงแก้ไข
เพื่อให้เรากลายเป็นบุคคลที่ดีขึ้น อย่างน้อยก็จะได้ไม่เป็นภาระของผู้อื่น
รู้จักสิทธิและหน้าที่ของตนเอง ไม่ก้าวก่าย
ทำความเดือดร้อนและเคารพสิทธิของผู้อื่น
เมื่อทุกคนทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดสังคมก็คงจะพัฒนาไปได้โดยง่าย
และเชื่อว่าปัญหาต่างๆในสังคมคงจะลดน้อยลงจนอาจจะไม่เหลืออยู่อีก
และสังคมของเราก็คงจะกลายเป็นสังคมที่มีความสุข และน่าอยู่มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้มาก
สุดท้ายนี้ก็อยากจะเสนอเรื่องคุณสมบัติของสังคมที่น่าอยู่อีกประการหนึ่งก็คือ
การเป็นสังคมที่ไม่มีชนชั้น และมีศาลที่ตัดสินอย่างเป็นธรรม
ซึ่งเราจะเห็นได้ในสังคมหลายๆสังคมว่ามีการแบ่งชนชั้นกันอย่างชัดเจน
คนที่อยู่ด้านบนสุดมักจะกดขี่ข่มแหงคนที่อยู่ด้านล่าง
และเมื่อคนที่อยู่ด้านล่างทนไม่ได้ ในที่สุดก็เกิดการปะทุ ระเบิดออกมา
กลายเป็นว่าเกิดความขัดแย้งขึ้นอีกในสังคม
นอกจากนี้การที่ศาลที่ทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินความยุติธรรม
ขาดและไร้ซึ่งความยุติธรรม ตัดสินโดยการบิดเบือนความจริง ย่อมเป็นสิ่งที่สามารถสะท้อนความไร้อารยธรรมของสังคมนั้นได้อย่างชัดเจนว่าย่อมเป็นสังคมที่มีความเจริญทางด้านจิตใจของผู้คนต่ำ
ดังนั้นสังคมที่ดีควรปราศจากสิ่งเหล่านี้ และเพื่อให้เห็นภาพความโหดร้ายของสังคมเช่นนี้
ผู้เขียนขอนำเสนอเพลงของ Capital Cities ชื่อเพลง
Kangaroo Court ที่นอกจากจะให้ความบันเทิงแล้ง
ยังได้สะท้อนภาพความอยุติธรรมของสังคมเช่นนี้ไว้ในเนื้อเพลง และใน Music
Video ได้อย่างชัดเจน
โดยใน MV (Music Video)
เพลงนี้เริ่มต้นโดยการที่มีตัวละครม้าลาย ต้องการที่จะเข้าไปใน Kangaroo Court
ซึ่งน่าจะเป็นสถานที่ที่คนชั้นสูงเข้าไปกัน แต่เมื่อพอมาถึงคนคุมประตูก็ไม่ให้เข้าและชี้ให้ดูป้ายที่เขียนว่าห้ามม้าลายเข้า ม้าลายจึงกลับบ้านไปด้วยความผิดหวัง
และได้แต่นั่งเปิดดูโทรทัศน์ ช่องที่เปิดไปก็พบแต่ช่องสารคดี
ที่นำเสนอภาพที่ม้าลายกลายเป็นเหยื่อให้กับเสือหรือสิงโต ม้าลายจึงนำเอาสีมาย้อมใบหน้าของตัวเองให้เหมือนม้าและกลับไปที่
Kangaroo Court อีกครั้ง ครั้งนี้ผู้คุมประตูยอมให้ม้าลายเข้าไป
เมื่อเข้าไปข้างในก็ปรากฏว่ามีสัตว์หลากหลายชนิดสังสรรค์กันอยู่ในนั้น
แต่สุดท้ายแล้วก็มีคนจับได้ว่าม้าลายปลอมตัวมา สุดท้ายจึงถูกจับส่งขึ้นศาล
ศาลก็ตัดสินว่าม้าลายมีความผิด สุดท้ายม้าลายจึงโดนนำตัวไปฆ่า MV นี้จบด้วยการที่
มีสิงโตตัวหนึ่งอยู่ในภัตตาคารสุดหรู รอรับประทานอาหารอยู่
ซึ่งเมื่อเปิดจานอาหารออกมาก็ปรากฏว่าเป็นเนื้อม้าลายนั่นเอง ซึ่งในเนื้อหาของ MV เพลงนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำของชนชั้นตั้งแต่เริ่มเพลงขึ้นมา
การที่เลือกใช้ม้าลายเป็นสื่อก็น่าจะสื่อให้เห็นถึงความอ่อนแอ
เป็นตัวแทนของการตกเป็นเบี้ยล่าง ถ้าเปรียบเทียบเป็นชนชั้น
ม้าลายตัวนี้ก็คงจะอยู่ในชนชั้นที่ต่ำที่สุด สะท้อนให้เห็นความจริงของสังคมที่ว่า
ความไม่เท่าเทียมกันและความเหลื่อมล้ำนั้นยังคงมีอยู่
และเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่คนในสังคมจะทำให้กันได้
และถึงแม้ม้าลายจะพยายามย้อมสีตัวเองให้กลายเป็นม้า แต่สุดท้ายเมื่อโดนจับได้
ก็ไม่ได้รับโอกาสจากสังคมอยู่ดี ซึ่งเป็นสังคมชั้นสูงนั่นเอง
ซึ่งก็อาจจะเปรียบได้กับการที่คนชนชั้นสูงส่วนมากมักจะเก็บอำนาจเก็บความมั่งคั่งไว้กับตัวเองหรือพวกตัวเองเท่านั้น
ไม่ยอมแบ่ง
หรือกระจายความมั่งคั่งไปสู่คนชนชั้นอื่นเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันแต่อย่างใด
และภาพสุดท้ายของ MV ที่สิงโตได้กินเนื้อม้าลายแล้วทำหน้าพึงพอใจเป็นอย่างมาก
ก็สะท้อนว่าคนที่รวยหรือมั่งคั่งส่วนใหญ่มักจะทำผลประโยชน์อยู่บนความทุกข์ของคนอื่น
ซึ่งคงจะไม่ใช่คนรวยหรือชนชั้นสูงทุกคนที่จะเป็นเช่นนี้ แต่ผู้จัดทำ MV เพลงนี้ก็คงอยากจะนำเสนอภาพความโหดร้ายของสถานการณ์เช่นนี้
ที่ยังมีอยู่จริงในสังคมปัจจุบัน โดยส่วนตัวผู้เขียนชอบเพลงนี้เพราะคิดว่าสะท้อนให้เราเห็นอะไรได้หลายๆอย่าง
ทั้งความไม่เท่าเทียมกัน ความโหดร้ายที่มีอยู่ในสังคม
แต่การที่เราดูก็ไม่ใช่เพื่อที่จะตอกย้ำความเหลื่อมล้ำความไม่เท่าเทียมแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แต่ก็เพื่อเปิดโลกทัศน์ และสร้างวิสัยทัศน์ใหม่ๆให้เกิดขึ้น เพื่อที่จะได้เรียนรู้
และนำข้อคิดต่างๆที่ได้ทั้งจากการดู MV เพลงนี้ การทำงาน
นำมาช่วยวางแผน หรือกำหนดแนวทางในการใช้ชีวิต
เพื่อที่จะสามารถก้าวเดินไปในอนาคตให้ได้อย่างมั่นคงและหนักแน่น
วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2559
เราทำอะไรอยู่ ?
เราทำอะไรอยู่ ?
- นั่นสิ!! เราทำอะไรอยู่?
- ทำไมเราต้องฝืนทำในสิ่งที่เราไม่อยากทำ ?
- ทำไมเราต้องยอมไม่มีความสุขในวันนี้ เพื่อที่จะมีความสุขในวันหน้า? มีความสุขทุกขณะไม่ดีกว่าหรือ?
- เราทำอะไรอยู่อาจไม่สำคัญเท่า เราทำเพื่อ "อะไร" หรือ ทำเพื่อ "ใคร" ใช่ไหม?
- เรากำลังทำสิ่งที่เราควรทำหรือเปล่า?
- เราทำ หรือเราไม่ได้ทำ?
- เราตั้งคำถามเพราะเราลืมเป้าหมาย?
- เราตั้งคำถามเพราะเราเหนื่อย?
- คำตอบมีอยู่ในทุกคำถาม?
- ลองมองดีๆก็จะเจอคำตอบ?
เรามักจะถาม ถาม ถาม ถามนู่น ถามนี่ ถามนั่น โวยวาย เหวี่ยง วีน ไม่ฟังใคร ไม่ฟังแม้กระทั่งเสียงของตัวเราเอง
บางครั้งคำตอบของหลายๆคำถาม ก็อยู่ในคำถามนั่นล่ะ
บางครั้งเราอาจจะหลงลืมคำตอบไปบ้าง บางครั้งเราก็รู้คำตอบอยู่แล้วแต่อยากจะเปลี่ยนคำตอบซะเหลือเกิน ถ้ามันเปลี่ยนได้ก็ดี แต่ถ้ามันเปลี่ยนไม่ได้ ก็คงต้องหาคำถามใหม่ เพื่อให้ได้คำตอบที่ต้องการ
เปลี่ยนคำถามได้ด้วยหรอ? ได้สิ! ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? มนุษย์เราก็เป็นอย่างนี้แหละ เปลี่ยนไป เปลี่ยนมาได้ตลอด เปลี่ยนให้พอดีกับตัวเรา แต่อย่าเปลี่ยนจนลืมตัวตนที่แท้จริงไปซะล่ะ!!!
ตัวฉัน... ในวันที่หยุดแต่ก็ยังมานั่งในออฟฟิศใจกลางเมืองกรุงอันแสนวุ่นวาย
2 เมษายน 2559
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)