ผลงานเขียนต่อไปนี้ เป็นเพียงชิ้นงานหรือบทความเล็กๆที่ตัวผู้เขียนเองเคยเขียนในขณะที่ยังเรียนอยู่ เป็นส่วนหนึ่งของวิชาที่ได้เคยศึกษา จำได้ว่าแรงบันดาลใจในการเขียนชิ้นงานเรื่องนี้มาจากการที่เดินในงานสัปดาห์หนังสือแล้วได้หนังสือนิยายมือสองมาหนึ่งเล่ม เมื่อลองอ่านดูแล้วปรากฏว่าเป็นนิยายที่สนุก เนื้อเรื่องน่าติดตาม ทำให้เกิดความสนใจที่จะไปศึกษาเบื้องหลังทางประวัติศาสตร์ต่อไป ถึงแม้เนื้อหาของบทความจะยังขาดตกบกพร่องอยู่มาก และถึงแม้เนื้อหาสาระจะเบาบางตื้นเขินแต่ก็อยากนำมาแบ่งปันให้เห็นว่า การศึกษาประวัติศาสตร์ผ่านฉากหลังของนิยายที่เราชื่นชอบนอกจากจะได้รับอรรถรสในการอ่านแล้วยังได้ความรู้ประดับตัวเพิ่มขึ้นอีก ถึงอย่างไรก็ขอขอบคุณผู้เขียนนิยาย และเจ้าของข้อมูลบางประการที่ปรากฏอยู่ในบทความไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ (ยอมรับตามตรงว่าเขียนเมื่อนานมาแล้ว หา Ref ไม่เจอจริงๆ ซ้ำยังจำไม่ได้อีกซะนี่ ยังไงก็ต้องขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ)
การศึกษาประวัติศาสตร์ผ่านวรรณกรรม
ประวัติศาสตร์ที่ศึกษา : ศึกษาประวัติศาสตร์อินโดนีเซียในช่วงปลายศตวรรษที่ 19
วรรณกรรมใช้ศึกษา : แผ่นดินของชีวิต ของ ปราโมทยา อนันตา ตูร์
การศึกษาประวัติศาสตร์คือการศึกษาประวัติความเป็นมาของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ซึ่งไม่ได้กำหนดอยู่เพียงแค่การศึกษาอยู่ในตำราวิชาการเท่านั้น
แต่สามารถศึกษาผ่านงานขียน
หรือวรรณกรรมต่างๆซึ่งช่วยให้การศึกษาประวัติศาสตร์ไม่น่าเบื่อ และมีสีสันมากขึ้น
แผ่นดินของชีวิต
หรือชื่อในภาษาอังกฤษ This
Earth of Mankind
เป็นผลงานของปราโมทยา อนันตา ตูร์ นักเขียนชาวอินโดนีเซียผู้มีผลงานที่ได้รับการแปลมากกว่า
30 ภาษา
แผ่นดินของชีวิตเป็นนวนิยายเรื่องหนึ่งในชุดจตุรภาคแห่งเกาะบูรู
ซึ่งได้รับการชื่นชมว่าเป็น
นวนิยายที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับลัทธิอาณานิคม
ประวัติของผู้แต่ง
ปราโมทยา
อนันตา ตูร์ เกิดที่เมืองบลอรา เป็นเมืองเล็กบนเกาะชวาเมื่อปี 1925 ในสมัยที่อินโดนีเซียยังเป็นอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์
บิดาของเขาเป็นนักชาตินิยม และมารดาเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี
ปราโมทเข้าร่วมขบวนการต่อต้านลัทธิอาณานิคมตั้งแต่อายุยังน้อย
และถูกรัฐบาลดัตช์จับกุมคุมขังไว้ระหว่างปี 1947 – 1949 อันเป็นช่วงที่เขาเริ่มมีผลงานเขียนยุคแรกๆ
ผลงานเรื่องแรกคือ The
Fugitive
หลังการต่อสู้เพื่อเอกราชประสบความสำเร็จ
เขาได้รับการปล่อยตัวและตลอดระยะเวลา 15 ปีภายใต้รัฐบาลซูการ์โน
เขาทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์ บรรณาธิการ และสอนวรรณคดีในมหาวิทยาลัย ในช่วงนี้เขาเริ่มค้นคว้าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อินโดนีเซีย
ซึ่งใช้เป็นพื้นฐานในการเขียนแผ่นดินของชีวิตในเวลาต่อมา
ในปี 1965 ปราโมทถูกจับขังในข้อหาเป็นคอมมิวนิสต์
หลังถูกขังอยู่ 4 ปี เขาถูกส่งตัวไปที่เกาะบูรู และที่แห่งนี้เองที่เป็นทั้งบ้านและที่ที่ปราโมทสร้างผลงานของเขาขึ้นมา
ในช่วงแรกเขาสร้างผลงานโดยการเล่าปากต่อปากให้เพื่อนนักโทษฟัง
จนกระทั่งในปี 1973
พศดียอมอนุญาตให้เขาเขียนหนังสือลงบนกระดาษ
ในปี 1979 ปราโมทถูกปล่อยตัวจากคุก
แต่ก็ถูกกักบริเวณจนกระทั่งปี 1999 เขาได้รับอนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศครั้งแรก
เพื่อไปเปิดตัวหนังสือ The Mutes Soliloquy ในสหรัฐอเมริกา
เนื้อเรื่องย่อ
แผ่นดินของชีวิตเป็นตอนแรกของนวนิยายชุดจตุรภาคแห่งเกาะบูรู
เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับการตื่นขึ้นของสำนักชาตินิยมในชาวพื้นเมือง โดยเฉพาะ
มิงเก ตัวละครหลักของเรื่อง มิงเก คือ นักเรียนชาวมัธยมปลายชาวพื้นเมืองที่ได้รับโอกาสเข้าไปเล่าเรียนวิทยาศาสตร์และวิชาความรู้ต่างๆในโรงเรียนของชาวดัตช์หรือเอชบีเอสที่ตั้งอยู่ที่เมืองสุราบายา
โดยปกติแล้วเอชบีเอสจะสงวนไว้ให้ชาวดัตช์ หรือปรียายีเท่านั้น
มิงเกจึงใช้เส้นสายของยายซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์เก่าทำให้ได้เข้าไปเรียนในที่แห่งนี้
ทัศนคติของมิงเกในแผ่นดินของชีวิตนี้เริ่มต้นด้วยการเป็นคนที่นิยมตะวันตกอย่างมาก
ชื่นชมความรู้แบบวิทยาศาสตร์ การแต่งกายก็แตกต่างจากชาวพื้นเมืองคนอื่นในสมัยนั้น
เขาแต่งกายแบบชาวยุโรป เขาพยายามลบภาพลักษณ์ความเป็นชวาออกไป เพราะเป็นภาพลักษณ์ของความล้าหลัง
ความไม่มีอารยะธรรม
แต่ทัศนคติของเขาจะเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อเขาได้รู้จักกับครอบครัวของ ไญ อนโตโซโระห์
ไญ อนโตโซโระห์
เป็นภรรยาลับๆของนักธุรกิจชาวดัตช์ ชื่อ เฮอร์มาน เมลเลมา
มิงเกหลงรักแอนเนลีส์สาวลูกครึ่ง ลูกของไญ อนโตโซโระห์ เขาเจออุปสรรคมากมายในเรื่องของความรัก
ทั้งการถูกปล่อยข่าวเสียหาย ถูกนินทาว่าร้ายในโรงเรียน
โดนมองด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม
เรื่องยิ่งแย่ลงเมื่อมิสเตอร์เมลเลมาถูกฆาตรกรรมอย่างลึกลับ
ครอบครัวของไญและมิงเกจำเป็นต้องขึ้นศาลของชาวผิวขาวหรือชาวดัตช์
ที่นี่เองเขาได้รับรู้ถึงความกดขี่ ความยโสของชาวตะวันตกที่มีเหนือชาวพื้นเมือง
คำตัดสินที่ไม่ยุติธรรมต่อชาวพื้นเมือง
โดยเฉพาะสำหรับไญ อนโตโซโระห์ บอกว่าเธอไม่เพียงจะถูกยึดทรัพย์สินจากธุรกิจที่เธอเป็นผู้ดูแลมาตลอด
แต่เธอยังถูกยึดสิทธิ์ที่จะเลี้ยงดูลูกสาวคนเดียวของตัวเอง เนื่องจากแอนเนลีส์ผู้ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะจะต้องอยู่ในความดูแลของมอริตซ์ลูกชายชาวดัตช์ที่ถูกต้องตามกฎหมายของ
มิสเตอร์เมลเลมา โดยแอนเนลีส์ต้องเดินทางไปฮอลแลนด์เพียงลำพัง
เพราะศาลชาวดัตช์ไม่ยอมให้ผู้ที่มีเชื้อสายดัตช์อยู่ในความดูแลของชาวพื้นเมือง
แม้แอนเนลีส์จะมีสายเลือดของชาวพื้นเมืองครึ่งหนึ่งก็ตาม
เรื่องแผ่นดินของชีวิตจึงจบด้วยตอนที่ว่า
แอนเนลีส์ต้องจากบ้านไป จากไญผู้เป็นแม่ และจากมิงเก สามีของเธอ
โดยที่มิงเกไม่สามารถทำอะไรได้เลย และจากความพยายามในการต่อสู้กับศาลชาวดัตช์
จนคนรักถูกพรากจากไป ทำให้มิงเกตระหนักถึงความอยุติธรรม การกดขี่
และความชั่วร้ายของระบอบอาณานิคมตะวันตก
ประวัติศาสตร์อินโดนีเซียผ่านแผ่นดินชีวิต
วรรณกรรมเรื่องแผ่นดินของชีวิตได้สะท้อนภาพของประวัติศาสตร์สังคมอินโดนีเซียในช่วงปลายศตวรรษที่
19 ได้อย่างชัดเจน เพียงแค่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบของตำราประวัติศาสตร์เท่านั้นเอง
สภาพสังคมของอินโดนีเซียในขณะนั้น
เมื่อย้อนไปดูภาพรวมในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 จะเห็นได้ว่า
ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษถือเป็นช่วงเวลาแห่งความสงบสุข
เกาะชวามีความเจริญรุ่งเรืองมาก เนื่องจาการพัฒนาด้านเกษตรกรรม
และมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้นของประชากรเนื่องมาจากการที่บ้านเมืองมีความสงบสุขและเพื่อตอบสนองความต้องการในด้านแรงงาน
นอกจากนี้ดัตช์เริ่มนำระบบการบริหารและนโยบายต่างๆซึ่งเป็นเป้าหมายในการสร้างอาณานิคมมาใช้ในพื้นที่แห่งนี้โดยนโยบายต่างๆเหล่านี้ถือเป็นนโยบายใหม่และไม่เคยใช้มาก่อน
จึงทำให้การเปลี่ยนแปลงในช่วงคริสต์ศตวรรษนี้ก่อให้เกิดความยุ่งยากและไม่เหมาะสมกับสภาพความเป็นอยู่จริง
ในช่วงต้น
ศตวรรษนี้เราจะเห็นได้ว่าอิทธิพลในด้านสังคม
วัฒนธรรมและเศรษฐกิจของชาวดัตช์ก็เริ่มขยายตัวและครอบงำสังคมแบบเดิมของชาวชวามากขึ้นเรื่อยๆ
มาตรการต่างๆของดัตช์สร้างความไม่พอใจให้ชาวชวาบางกลุ่มจนนำไปสู่สงครามชวาในช่วงปี
1825 –
1830 แต่สงครามก็จบลงที่ฝ่ายดัตช์สามารถควบคุมชวาได้อีกครั้ง
ภายหลังจากที่ดัตช์ปราบกบฏในสงครามชวาได้เรียบร้อยแล้วถือว่าดัตช์ได้ใช้ระบอบการปกครองแบบอาณานิคมอย่างเต็มรูปแบบกับชวาในการควบคุมเรื่องต่างๆ
โดยในปี 1830 ก็มีการนำระบบบังคับการเพาะปลูกมาใช้
เพื่อบังคับการผลิตน้ำตาลเพื่อทำกำไรสู่ตลาดโลกของดัตช์
และในการขูดรีดทรัพยากรจากอาณานิคมนี้
ดัตช์ได้มีการปลูกฝังทัศนคติค่านิยมที่จะทำให้ชาวชวาจะต้องอยู่ใต้ความปกครองของดัตช์
ต้องให้ความเคารพชาวดัตช์ และมองดัตช์ว่าเป็นผู้สูงส่ง อยู่เหนือกว่าชาวพื้นเมือง
โดยชาวพื้นเมืองไม่มีสิทธิ์เรียกร้องหรือโต้แย้งใดๆได้ การบังคับการเพาะปลูกนี้
ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมหมู่บ้าน เริ่มเกิดความไม่เท่าเทียมกัน
มีคนรวยกับคนจนเกิดขึ้น จากผลการขูดรีดนี้ก็ทำให้ดัตช์มีกำไรและรายได้เพิ่มมากจนกลายเป็นประเทศหนึ่งที่ร่ำรวยที่สุดในยุโรปในตอนนั้น
แต่สร้างผลกระทบอย่างมากในสังคมชวาจนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นในเนเธอร์แลนด์จากกลุ่มที่มีแนวคิดเสรีนิยม
กลุ่มแนวคิดเสรีนิยมนี้ต้องการให้ดัตช์เปลี่ยนนโยบายในการปกครองใหม่โดยให้มีความเสรีมากขึ้น
ทำให้ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ดัตช์หันมาใช้นโยบายเสรีนิยมและผลจากการใช้นโยบายเสรีนิยมนั้นก็ทำให้เศรษฐกิจในชวาตกอยู่ในมือของนายทุนชาวต่างชาติเป็นส่วนใหญ่
และเมื่อเราศึกษาลึกเข้าไปในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ของเมืองท่าสุราบายา
ซึ่งเป็นสถานที่หลักในวรรณกรรมเรื่องนี้
จะเห็นได้ว่ามีการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่มากับนโยบายเสรีนิยม
โดยเมืองท่าสุราบายาเป็นเมืองท่าที่ขยายตัวรอบๆท่าเรือใหญ่
ทำให้ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่แห่งนี้ย่อมต้องมองเห็นและรับรู้ถึงการหลั่งไหลเข้ามาของวัฒนธรรมต่างๆที่เข้ามาพร้อมกับการขยายตัวของอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีแบบทุนนิยม
อันเป็นผลมาจากนโยบายเสรีนิยมได้อย่างถนัดชัดเจน
ทั้งเรือบรรทุกสินค้าที่นำเอาสินค้าต่างๆมากมาย ทั้งเครื่องจักรและสินค้าจากยุโรป
ทำให้มีการขยายตัวของเศรษฐกิจการค้า โดยเฉพาะมีการขนวัวนมสำหรับอุตสาหกรรมนมของชวาเข้ามาที่เมืองท่าแห่งนี้
นอกจากนี้ยังมีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติหลั่งไหลเข้ามาโดยเฉพาะชาวตะวันตก
ทั้งเจ้าหน้าที่ของดัตช์ที่ถูกส่งตัวมา พ่อค้า นักเผชิญโชค
คนเหล่านี้เข้ามาที่หมู่เกาะชวาเพื่อแสวงหา กอบโกย ตักตวงเอาผลประโยชน์จากหมู่เกาะแห่งนี้
เมื่อผู้คนจากต่างเชื้อชาติเข้ามาอยู่จึงเกิดการแลกเปลี่ยนความรู้
มีการหลั่งไหลของความร็เข้ามาอย่างไม่ขาดสายทั้งในด้านการเมือง การปกครอง ศาสนา
ปรัชญา และวิสัยทัศน์ในด้านต่างๆ รวมทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบโลก
มีการเข้ามาของเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น เรื่องของการพิมพ์หนังสือ พิมพ์รูปภาพ
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความเจริญที่เข้ามาพร้อมกับการต้องตกอยู่ใต้อาณานิคมของดัตช์ทั้งนั้น
และธุรกิจความมั่งคั่ง
รวมทั้งผลประโยชน์ส่วนใหญ่ก็เป็นของชาวต่างชาติมากกว่าที่จะเป็นของชาวพื้นเมือง
ทำให้มีการวิจารณ์นโยบายการปกครองของดัตช์อย่างกว้างขวางว่าเอารัดเอาเปรียบชาวพื้นเมืองมากเกินไป
รัฐบาลดัตช์จึงพยายามหาทางแก้ไขปัญหา
จนนำไปสู่นโยบายจริยธรรมในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20
มีการดำเนินนโยบายการผสมผสานทางวัฒนธรรมซึ่งเป็นพื้นฐานความคิดของนโยบายจริยธรรม
ด้วยการนำเอาวัฒนธรรมตะวันตกสมัยใหม่สอดแทรกเข้าไปในวิถีชีวิตของกลุ่มลูกหลานปรียายีรุ่นใหม่ที่เคยยึดติดอยู่กับวัฒนธรรมอิสลามพื้นเมืองแบบชวา
มีการสนับสนุนการศึกษา แต่ก็แค่ในกลุ่มชนชั้นสูงของสังคมชวาเท่านั้น
ทำให้การศึกษากระจุกตัวอยู่แค่ในบางกลุ่ม
การดำเนินนโยบายจริยธรรมของดัตช์ตั้งอยู่บนจุดประสงค์แห่งความหวังดีแต่ผลที่ได้กลับสร้างความแปลกแยกทางวัฒนธรรมระหว่างวัฒนธรรมสมัยใหม่ของตะวันตกกับวัฒนธรรมอิสลามเกิดขึ้นในกลุ่มลูกหลานชนชั้นสูงที่ได้รับการศึกษาแบบใหม่จากโรงเรียนรัฐบาล
และโรงเรียนเอกชนที่ชื่นชมวัฒนธรรมสมัยใหม่
มีการกำหนดใช้ภาษาดัตช์เป็นภาษากลางเพื่อเป็นมาตรฐานในการศึกษา
ทำให้เป็นการแบ่งแยกชนชั้น
ซึ่งภาษาในสมัยนั้นเป็นเครื่องบ่งบอกถึงชนชั้นวรรณะทางสังคมอย่างชัดเจน
ในสมัยนั้นชาวพื้นเมืองถูกห้ามไม่ให้ใช้ภาษาดัตช์
ซึ่งภาษาดัตช์เป็นภาษาสำหรับชนชั้นปกครอง และชนชั้นสูงสุด ภาษาชวาเป็นภาษาของคนพื้นเมืองในเกาะชวา
ภาษามลายูเป็นภาษาระหว่างเชื้อชาติต่างๆ เป็นภาษากลาง
เป็นภาษาของลูกครึ่งยุโรปเอเชีย
นอกจากภาษาที่เป็นตัวกำหนดชนชั้นวรรณะในสังคมแล้วเรื่องของเชื้อชาติก็เป็นประเด็นสำคัญ
มีการแบ่งแยกเชื้อชาติอย่างชัดเจน เช่นชาวพื้นเมือง ชาวเลือดผสม ชาวอินโด
และชาวยุโรปแท้ การแบ่งแยกนี้มีสถานภาพทางกฎหมายรองรับ
มาตรการต่างๆของรัฐบาลดัตช์ทำให้เกิดความห่างเหินทางวัฒนธรรมการศึกษาขึ้น
ทำให้ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดของวิถีชีวิตแบบเดิมคลายตัวลง
ส่งผลให้เกิดการวมตัวกันของชวาพื้นเมืองโดยมีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวในการเคลื่อนไหว
ต่อต้านเหล่าผู้ปกครองต่างชาติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น